Inside Dara
“พิ้งกี้” เรียนรู้เรื่องรักผ่านประสบการณ์

ผ่านมรสุมชีวิตเข้ามามากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ล่าสุดดูเหมือนชีวิตของ พิ้งกี้-สาวิกา ไชยเดช จะสดใสขึ้น เพราะการงานกลับมาฮอตเหมือนเดิมทั้งงานหนัง “จันดารา ปัจฉิมบท” และงานละคร นอกจากนี้ยังวางแผนจะไปเล่นหนังที่อินเดียอีกรอบด้วย หลังจากที่เคยไปประสบความสำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่ง

ปี 2556 นี้ จะได้เห็นผลงานอะไรของพิ้งกี้บ้าง?

“มีละคร “กากับหงส์” ทางช่อง 8 และภาพยนตร์ “จันดารา ปัจฉิมบท” ที่กำลังจะเข้าฉายค่ะ สำหรับแผนชีวิตในปีนี้ กี้ไม่ได้วางแผนอะไรหรอกค่ะ แต่งานจะเป็นฝ่ายวางแผนให้เราเองว่าเราจะทำอะไรบ้าง ครึ่งปีนี้วางแผนได้แล้วว่าจะทำอะไร บางทีมีงานซ้อนกัน เราก็ต้องเลือกงานที่โอเคและได้ประสบการณ์เยอะ ๆ ปีนี้ก็เรื่อย ๆ นะคะ แต่งานก็ไม่มีหยุดเลย งานอีเวนต์อาจมีไม่ค่อยบ่อย แต่คอนเสิร์ตมีทุกวัน กี้วางแผนเป็นสเต็ป ไม่ได้รีบร้อนแบบเล่น 2-3 เรื่องติดกัน จริง ๆ เรารับแบบนั้นก็ได้นะ แต่เราอยู่ในวงการมานานพอสมควร ทุกบทบาทที่ผ่านเข้ามามีแต่สิ่งดี ๆ ทั้งนั้นเลย แต่เราก็ต้องเลือกบทที่ท้าทายและยาก ๆ ก็เลยต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ”

ตอนนี้เป็นนักแสดงอิสระที่สามารถรับงานได้ดั่งใจหรือเปล่า?

“คิดว่าอยู่ในวงการมา 20 ปี มันก็โอเคในระดับหนึ่งแล้วล่ะ กี้เรียนรู้ทุกอย่างในวงการ ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงก็อยู่ค่ายหนึ่ง เล่นละครก็มีค่าย กี้ผ่านมาหลายรูปแบบ ตอนนี้กี้ไม่ได้เลือกว่าจะอยู่กับใคร แต่เลือกงานที่หลากหลายมากกว่า ปีนี้อายุก็ 27 แล้ว เวลาที่อยู่ในวงการก็ไม่รู้ว่าจะนานขนาดไหน ก็เลยอยากทำงานหลากหลายรูปแบบมากกว่าค่ะ”

แสดงว่าตอนนี้บทแรงขนาดไหนก็ไม่แคร์?

“คงไม่ถึงกับแรงอะไร โชคดีที่เราได้มาเล่นหนัง “จันดารา” ของหม่อมน้อย ซึ่งได้เล่นบท “ไฮซินธ์” และบท “ดารา” อาจจะเป็นบทรับเชิญ พูดน้อย แต่หม่อมบอกว่าเป็นบทที่ต้องสื่อออกมาให้คนดูรู้สึกนะ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นบทแรง แต่เป็นบทที่มีความสำคัญของเรื่อง ไม่จำเป็นว่าพอเราเล่น “ทองประกายแสด” แล้ว เราจะต้องเล่นแบบ “ทองประกายแสด” ในเรื่องต่อไปอีก เราอยากพลิกบทบาทเป็นแบบอื่นบ้าง”

บทบาทในจันดารามีความยากง่ายอย่างไร?

“หม่อมน้อยบอกว่ารับเชิญพิเศษค่ะ บทคงไม่ได้เยอะมาก แต่พอมาเล่นก็รู้ว่าเป็นบทที่มีความสำคัญในเรื่อง มีปมที่เกี่ยวข้อง กับตัวจันดารา ในส่วนของภาค 2 ปัจฉิมบทจะย้อนอดีตไปตามหาพ่อของจัน เพราะจันอยากรู้ว่าพ่อของตัวเองคือใคร แล้วจะมี “ดารา” เข้ามาเกี่ยวข้อง หลากหลายอารมณ์มาก ทั้งความเจ็บช้ำ ความผิดหวัง ซึ่งมาริโอ้และทุกคนเล่นดีมากเลย ส่วนเราก็เล่นแบบไม่ต้องคิดอะไร คือเล่นให้เป็นคนในยุคนั้นจริง ๆ ด้วยความที่เราฝึกซ้อมกับหม่อมมา เวลาเข้าฉากจริง ๆ มันเลยเร็วและไม่ต้องตีความเยอะ เพราะเรามาจากบ้านโดยสวมวิญญาณเป็นตัวแสดงนั้นเลย กี้ได้ร่วมงานกับหม่อมน้อยเป็นครั้งแรก ได้เรียนรู้เยอะมาก หม่อมเป็นคนสำคัญของวงการบันเทิงไทยที่เราจะไม่ได้เจอง่าย ๆ เพราะหม่อมไม่ได้ทำภาพยนตร์บ่อย นักแสดงคนหนึ่งควรจะได้เรียนรู้กับปูชนียบุคคลที่เข้าใจความเป็นมนุษย์และเข้าใจถึงความเป็นนักแสดง ตอนมาเรียนกับหม่อมก็เหมือนเรามาจูนเข้าหากัน และจูนความเป็นตัวเราให้เข้ากับบทที่เราแสดงให้มากที่สุด ด้วยความที่เรื่องนี้เป็นแนวอีโรติก กี้ว่าถ้าไม่ใช่หม่อมทำคงยากค่ะ หม่อมทำแล้วมันดูเป็นงานศิลปะ และการที่หม่อมเลือกเราก็ถือเป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจมากค่ะ”

วางแผนไปอินเดียด้วยใช่ไหม?

“อย่างที่บอกค่ะว่างานให้เราไปเอง เราไม่ได้วางแผนที่จะไป แต่ได้โอกาสที่ดีซึ่งเขาเลือกเราให้ไปเล่นหนังที่ไฮเดอราบัด เลือกเรามา เป็นหนังตอลลีวูด เป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่ง เราจะได้ไปเรียนรู้งานใหม่ ๆ ทุกอย่างมันเป็นความท้าทาย บริษัทที่ติดต่อไม่ใช่บริษัทเดิมที่เคยเล่น แต่เป็นอีกบริษัทหนึ่ง อีกเมืองหนึ่งเลย ได้ไปถ่ายหลากหลายที่ โลกเรากว้างขึ้น เราได้เห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็น กี้ถือว่าได้รับเกียรติให้ไปแสดงนะ เป็นเกียรติของบ้านเราด้วย ที่ได้มีคนไทยคนหนึ่งไปเล่นที่โน่น ก็ต้องทำให้ดีที่สุดค่ะ แต่จริง ๆ เขาอยากให้ถ่ายตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา แต่เราไปไม่ได้ ต้องเลื่อนไป บางงานที่มีอยู่ในเมืองไทยเราก็ไม่รับเลยหลายเดือน เพื่อมารับเรื่องนี้แทน ซึ่งคิดว่าจะเป็นระสบการณ์อันคุ้มค่า แต่ก็ยังไม่ทิ้งงานที่เมืองไทยนะ มีพี่เขาคอยดูให้ค่ะ”

แฟนหนังที่อินเดียรู้จักพิ้งกี้มากน้อยแค่ไหน?

“คงไม่ได้รู้จักแพร่หลายเท่าไรหรอกค่ะ เพราะเรื่องเดิมที่เคยเล่นมันฉายที่เมืองทางตอนใต้ แต่เมืองนี้ก็มีประชากร 60 ล้านคน ไม่ได้ฉายทั้งอินเดีย ไม่เหมือนบ้านเราที่ทำหนังครั้งหนึ่งแล้วฉายทั่วประเทศค่ะ"

ระบบการทำงานที่นั่นเหมือนหรือต่างจากของไทยแค่ไหน?

“มันต่างที่ภาษาและวัฒนธรรม ส่วนแอ๊คติ้งการแสดงก็ไม่เหมือนบ้านเรา มันเป็นอีกแบบหนึ่งเลย ต้องใช้ประสบการณ์ในการเรียนรู้ ต้องดูหนังอินเดียมาก ๆ จะได้ซึมซับ ส่วนการทำงานก็เป็นมืออาชีพเหมือนบ้านเรา แต่ทุกอย่างต้องเป๊ะตามเวลาค่ะ”

ทำงานถึง 2 ประเทศ และเข้าวงการตั้งแต่เด็ก ทำให้พิ้งกี้ในวันนี้เป็นอย่างไร?

“เข้มแข็งและท้าทายขึ้น กี้ได้รับคำสั่งสอนดี ๆ จากผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่าน อย่างถามหม่อมน้อยว่าไปอินเดียดีไหม หม่อมบอกไปเลย ถ้าได้ไปเล่น มันจะเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งเลยล่ะการเป็นนักแสดงไม่มีอะไรมากนอกจากการได้เล่นบทที่ดี ๆ และการได้ทำงานกับต่างชาติมันถือเป็นโอกาสค่ะ”

พูดได้ไหมว่าการแสดงคือชีวิตของพิ้งกี้?

“ด้วยความที่กี้อยู่มานานมั้งคะ เราก็เรียนรู้กับมัน แต่ก็เหมือนยังเรียนรู้ไม่จบนะ เพราะบทบาทมันยังมีอีกตั้งเยอะและหลากหลายที่เรายังไม่เคยเล่น”

เป้าหมายในชีวิตคืออะไร?

“คือถ้าเราทำงานอยู่ในเมืองไทย ชีวิตมันคงไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าเราได้ทำงานกับต่างประเทศ อย่างล่าสุดได้ไปเมืองจีนด้วย ไปร้องเพลงบนเวทีของเขา รู้สึกว่าเราได้ไปศึกษาในสิ่งที่เราไม่เคยรู้มากมาย อย่างอินเดียก็เป็นการเรียนรู้อีกแบบหนึ่ง ซึ่งเราชอบท่องไปในโลกกว้างอยู่แล้ว ได้ไปเที่ยว ได้ไปศึกษาเรียนรู้วัฒนธรรมต่าง ๆ นั่นก็คือเป้าหมายของกี้ด้วย สำหรับอนาคตในวงการกี้ว่าอายุ 30-31 น่าจะโอเคแล้วล่ะ เพราะอายุ 31 มันน่าจะมีครอบครัวได้แล้วในความคิดของกี้นะ ถึงตอนนั้นถ้าเราเจอคนที่ดีและใช่ก็คงมีครอบครัวและมีลูก แต่ถ้ายังไม่เจอหรือยังไม่ใช่ ก็คงไปเรื่อย ๆ ก่อน กี้คิดว่าผู้หญิงเราอยากมีลูกนะ อายุสัก 30-31 กำลังดี จะได้ไม่แก่เกินไป แต่ก็ต้องดูอีกที เผื่อเราอาจได้ไปทำงานหลากหลายที่มากกว่านี้ก็ได้ มันเลยเป็นช่วงเวลาที่เรายังไม่ควรหยุดทำงาน”

มีมุมมองเรื่องความรักและการมีครอบครัวอย่างไรบ้าง?

“ผู้หญิงก็ต้องเป็นแม่ ดูแลลูก ถ้ากี้มีลูกก็คงจะไม่อยู่วงการบันเทิงอีก เพราะรู้สึกว่าเรามีครอบครัวแล้วก็ต้องมีลูก กี้เป็นคนรักเด็ก อยากมีลูกเยอะ ๆ ชีวิตเราเต็มอิ่มกับวงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็กแล้ว”

แล้วมองแฟนไว้แบบไหน?

“มันคงไม่ใช่วัยแบบเด็ก ๆ แล้วนะ แบบไปกินข้าวดูหนัง เรียนรู้กันไป คงไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ตอนนี้คงต้องหาคนที่ค่อนข้างจะเป็นผู้ใหญ่ ต้องรักเราและครอบครัวเราด้วย ไม่ได้กำหนดตายตัวว่าจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ขอให้ดูแลเราได้ทุกเรื่องก็พอค่ะ”

ณ วันนี้มีผู้ชายที่ว่าเข้ามาจีบบ้างไหม?

ถ้ามีคงไม่ปล่อยให้ขึ้นคานแบบนี้ (หัวเราะ) คือถ้าดีจริง ๆ ก็คงต้องเรียนรู้ แต่ตอนนี้ไม่มี หายากมาก บางคนตามหารัก แต่ก็ไม่เจอสักที ตอนนี้เลยยังไม่คิดจะตามหารักหรือมีคู่ เพราะงานกำลังหนัก และมีงานอีกหลายอย่างที่ยังเปิดเผยไม่ได้ ซึ่งกำลังทำอยู่ค่ะ มันคงเหมือนกฎแรงดึงดูดอะไรสักอย่างที่ถ้าเรายิ่งตามหา มันก็ยิ่งออกห่าง บางทีเราต้องให้เวลากับตัวเองเยอะ ๆ และทำงาน พอลืม ๆ ไป เดี๋ยวมันคงจะมีเข้ามาเองค่ะ”

เป็นคนอ่อนไหวในเรื่องความรักไหม?

“ไม่ค่อยอ่อนไหวค่ะ แต่ประสบการณ์คงจะสอนเราในหลาย ๆเรื่อง ตั้งแต่ความรักครั้งแรกจนกระทั่งปัจจุบัน มันสอนให้เราเรียนรู้ มันมีวิธีที่จะปรับตัวและตัดสินว่าอันไหนมันควรจะรับมืออย่างไร มันก็คงจะรู้เอง”

สุดท้ายอยากฝากอะไรถึงแฟน ๆ?

“ขอฝากผลงานอันหลากหลายที่กำลังจะทำค่ะ ติดตามได้ทาง เฟซบุ๊ก Pinky Sawika หรือในเว็บไซต์ www.pinkyclub.com อยากให้แฟน ๆ ช่วยให้กำลังใจในการไปถ่ายภาพยนตร์ด้วย และขอให้อุดหนุนหนัง “จันดารา” กันเยอะ ๆ ดูหนังไทยเยอะ ๆ นะคะ”

ถึงจะหัวใจไม่อ่อนไหว แต่ประสบการณ์สอนให้รักเป็น คงจะเป็นคำจำกัดความเรื่องความรักของพิ้งกี้ได้ดีที่สุดจริง ๆ