Inside Dara
คำสอนของ"พ่อ"กว่าจะเป็น"ซุป'ตาร์" พระเอกสุดฮอต! 'ณเดชน์ คูกิมิยะ'

ถือว่าชีวิต ซุป‘ตาร์ อย่าง แบรี่-ณเดชน์ คูกิมิยะ พระเอกลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย ซึ่งกำลังมีผลงานละครเรื่อง “รอยฝันตะวันเดือด” ทางวิก 3 กว่าจะเป็น “ดาวจรัสแสง” เฉกเช่นทุกวันนี้ได้ เพราะมีสองมือของ คุณพ่อโยชิโอ คูกิมิยะ พ่อบุญธรรมชาวญี่ปุ่น คอยโอบอุ้ม เลี้ยงดูมาตั้ง แต่เล็กแต่น้อย ทั้งๆที่มิใช่ “สายเลือด” เนื่องใน “วันพ่อ” ลูกชายคนนี้ขอเปิดใจ ความรักที่มีให้กับ ป๊าโยชิโอ ซึ่งหนุ่มแบรี่ จดจำทุกคำที่พ่อพร่ำสอนจนขึ้นใจ ซึมซับความรักของพ่อชาวญี่ปุ่น ที่เต็มเปี่ยมไปด้วย “พลังแห่งความรัก” เป็นอย่างดี ผ่าน “คนดังนั่งคุย”

ความผูกพันระหว่างพ่อกับณเดชน์ตั้งแต่วัยเด็ก

“ตั้งแต่จำความได้เจอป๊านก เป็นคุณพ่อที่ประเสริฐมากๆ เป็นคุณพ่อที่ดูแลทั้งครอบครัว คุณยาย คุณแม่ ตัวผมเอง พอคุณยายป่วย พ่อก็ดูแล พ่อทำงานหนักเพื่อครอบครัว เพื่อผมเอง จริงๆเห็นคุณพ่อทำงาน ทำทุกวันอยู่กรุงเทพฯด้วย แต่ตัวผมเรียนอยู่ขอนแก่น อยู่กับแม่ๆ ที่ขอนแก่น แต่จะเทียวไปเทียวมา มาหาคุณพ่อช่วงศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ และช่วงปิดเทอมก็จะอยู่ยาว” ทำไมเด็กๆณเดชน์ไม่มาอยู่กับคุณพ่อที่กรุงเทพฯล่ะ “ที่ไม่มาอยู่เพราะแม่ต้องอยู่ดูแลยาย ยายป่วยที่ขอนแก่นและผมเองไม่อยากอยู่กรุงเทพฯด้วย” พอโตเป็นไงล่ะปักหลักกรุงเทพฯเชียว “ใช่ๆ ต้องมาอยู่เลย เกลียดอะไรได้อย่างนั้น (ยิ้ม) เด็กๆไม่ชอบกรุงเทพฯ มันวุ่นวายและไม่อยากทิ้งเพื่อนไป”

คุณพ่อเป็นคนดุมั้ย

“เป็นคนไม่ดุเลยครับ แม่แก้วดุกว่า (หัวเราะ) พ่อไม่ดุแต่ความเป็นระเบียบ เป๊ะๆ เพราะด้วยความเป็นคนญี่ปุ่น มีความเป็นระเบียบและท่านเป็นคนขยัน ตรงต่อเวลา มั่นใจในตัวเองสูง” สิ่งที่คุณพ่อสอนแบรี่ตลอดเลย “คุณพ่อจะถามว่าอยากเรียนอะไร โตขึ้นมาจะเป็นอะไร คิดว่าอาชีพนี้จะหาเลี้ยงตัวเองได้มั้ย หาเงินเลี้ยงครอบครัว หาเงินเลี้ยงลูกได้มั้ย พ่อจะคอยถามตั้งแต่เด็กๆ อยากจะเป็นอะไร ผมก็เปลี่ยนไปเรื่อย เด็กๆอยากเป็นหมอ วิศวกร นักประดิษฐ์ อยากจะเป็นนักบินอวกาศ เป็นเยอะมาก แต่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ”

พ่อมีแนวทางหรือชี้นำชีวิตยังไงบ้าง

“คุณพ่อจะสอนการใช้เงินวันละกี่บาท คุณพ่อจะจดใส่กระดาษเหมือนปฏิทิน 1 ปี เป็นสมุดเล่มเล็กๆ จะมีช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ พ่อจะจดว่าอาหารเท่าไหร่ ค่ารถเท่าไหร่ ค่าน้ำมันเท่าไหร่ ให้ลูกให้เมียเท่าไหร่ พ่อจะจดไว้ (ขำ) แม่ก็ทำนะ ผมก็จะทำเหมือนกัน” การเห็นคุณพ่อจดทุกเม็ดในวัยเด็กตอนนั้นเรารู้สึกยังไง “ไม่เข้าใจครับ ไม่เข้าใจว่าคุณพ่อจะจดไปทำไม แต่คุณพ่อบอกว่าหนึ่งเดือนเราจะได้รู้ว่าเราใช้เงินไปเท่าไหร่ หนึ่งปีใช้เงินไปเท่าไหร่และจะต้องหาเงิน ให้ได้เท่าไหร่ เหมือนเป็นการวางแผนอนาคตการทำงานและการเงินด้วย คุณพ่อจะคอยสอนตลอด การวางแผนอนาคตและการเงินตลอดเวลา ทำให้ผมเป็นคนใช้จ่ายน้อย แต่ถ้ามีความจำเป็นก็ใช้บ้าง” ทุกวันนี้ยังจดบันทึกค่าใช้จ่ายอยู่มั้ย “ไม่จดแล้วครับ ให้แม่จดเลยเพราะมันหลายอย่างเกิน เราทำงานด้วย และเม็ดเงินมันเยอะ หลายงานมันกระจุกกระจิกด้วยเลยปล่อยให้เป็นหน้าที่แม่ดูแลแทน”

เรื่องความมัธยัสถ์ถือว่าได้จากคุณพ่อตรงๆเลยใช่มั้ย

“จริงๆ ผมไม่ได้ครึ่งหรอก (หัวเราะ) เพราะเสื้อผ้าของคุณพ่อ 10 ปีมาแล้วผมยังเห็นใส่ชุดเดิมเลยครับ พ่อมีประมาณ 4 ชุด เวลาซิปแตก กางเกงขาด แม่จะจัดการเนาให้หรือเย็บให้ป๊าเพราะเป็นช่างเย็บผ้าอยู่แล้ว” แสดงว่าร้านซ่อมเสื้อกางเกงไม่ได้สตางค์ครอบครัวนี้แน่ๆ “ไม่ได้สตางค์แม่แน่ๆ เพราะแม่จะทำเองหมด ขนาดผ้าไหมแม่จะซื้อแล้วมาตัดเองหมด ซึ่งผมก็ไม่ได้ครึ่ง” ก่อนหน้านี้เห็นณเดชน์ชอบซื้อเสื้อผ้าตลาดนัดจตุจักร ทุกวันนี้ล่ะ “ตอนนี้ก็ไม่ค่อยได้ซื้ออะไรมาก นอกจากจะให้มาฟรีๆ (หัวเราะเขินๆ) ส่วนมากให้ซื้อเอง ยกเว้นไปต่างประเทศจะซื้อชุดเพื่อมาทำงาน ชุดสูท เสื้อยืด ก็มีคนให้มา เพราะเวลาทำงานอีเวนต์ก็ต้องใส่เสื้อของเค้าอยู่แล้วไม่ได้ใส่เสื้อของตัวเอง ผมไม่จำเป็นต้องซื้ออะไร” เลยประหยัดโดยการใส่เสื้อแจก เสื้อขาด “เดี๋ยวนี้ดีขึ้นแล้ว เสื้อขาดไม่ได้ใส่แล้ว (หัวเราะ) ผมติดโผด้วยนะ นักแสดงที่แต่งตัวแย่ที่สุดในวงการ (หัวเราะ) ก็ขำๆ ไป”

นอกจากความประหยัด สิ่งที่ได้จากพ่อล่ะ

“อาจจะเป็นเรื่องของครอบครัว การให้ คุณพ่อทำงานให้ตัวเองน้อยมากแต่จะให้คนอื่นมากกว่า ซึ่งทำให้เราเป็นแบบนั้น ทุกอย่างที่เราทำเพื่อให้ครอบครัวสบาย ทำเพื่อพี่น้องให้แม่ให้พ่อ ให้ความสะดวกสบายเค้า ให้ความสุข คือเค้ามีความสุขกับเราอยู่แล้วเพราะเห็นเราได้ดีขนาดนี้ คุณเป็นพ่อ เป็นครอบครัวแต่สิ่งที่เราให้กลับไปเป็นความสะดวกสบาย” เหมือนตอนนี้ณเดชน์สืบทอดเจตนารมณ์ของคุณพ่อ “ครับ ตอนนี้พ่อไม่ได้ทำงานแล้ว เป็นหน้าที่ของผมแล้วที่ดูแลต่อ แต่ผมก็ภูมิใจนะที่เรามาทำตรงนี้แทนพ่อได้” พ่อบังคับณเดชน์เรื่องอะไรมั้ย “ไม่เลย พ่อก็บอกว่าไม่ต้องเรียนเลยมั้ย ทำงานเลยดีกว่า คือเค้าเห็นเราทำงานเกือบทุกวัน และไปเรียนอีก พ่อเห็นว่าเราเหนื่อย ตอนพ่ออยู่ที่ญี่ปุ่นไม่เคยไปมหาวิทยาลัยเลย พ่อจะอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านออกไปสอบ พ่อจะทำงานโดยการแพ็กหนังสือพิมพ์ส่งตามร้านขายหนังสือ แกทำงานมากกว่าเสียเวลาในห้องเรียน พ่อเก่งมาก พ่อเรียนวิศวกรเคมี” พ่อเก่งแล้วตัวเราล่ะ “อย่างที่บอกว่าผมไม่ได้ครึ่งของพ่อ (หัวเราะ) การประสบความสำเร็จในชีวิตของพ่อ คือการดูแลครอบครัว แค่มีอยู่มีกินแค่นี้ชีวิตก็มีความสุขแล้วไม่ต้องไปขวนขวายอะไร”

พอเราเข้าวงการสิ่งที่จะเตือนและสอนเราตลอด

“คุณพ่อให้ระวังเรื่องการทำงานกับคน การคดโกงเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้น การทำงานกับคนมีเยอะแล้ว ชีวิตทำงานมีอยู่แล้วปัญหาไม่ถูกกัน ไม่พอใจ ปัญหาแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน พ่อสอนให้รู้จักระวังตัว” การเป็นคนดัง เป็นบุคคลมีชื่อเสียง พ่อมีการเตือนเรื่องความเหลิงบ้างมั้ย “ไม่เตือนนะ แต่แม่พูดบ้างครับ แต่เรารู้ตัวว่าเราไม่ได้เป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่รู้สิ 4 ปีเจออะไรมาเยอะ ตายด้านกับหลายอย่าง” ณ วันนี้ ณเดชน์ กลายเป็นซุป’ตาร์ พ่อเคยพูดถึงภูมิใจให้เราได้ยินบ้างมั้ย “ผมเชื่อว่าพ่อภูมิใจแหละแต่ด้วยความเป็นผู้ชายเลยไม่มาพูดกับผม อาจจะไปพูดกับแม่ หรือบางที ผมจะเล่าให้พ่อฟังวันนี้ทำงานอะไรบ้าง พ่อจะโอ้ๆ เก่งแล้ว เพราะพ่อไม่ดูละคร 4 ทุ่มก็นอนแล้ว อายุมากแล้ว อายุ 68-69 ไม่ค่อยออกไปไหน” ชีวิตที่กลายเป็นคนดังต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองขนาดไหน “ผมว่าเปลี่ยนแค่การวางตัวเท่านั้นเอง ในสถานการณ์ กาลเทศะต่างๆ เวลาอยู่กองก็เป็นเด็กๆคนนึง ไม่ได้อยู่ในสายตาที่ทุกคนจับจ้องเราเป็นแบบอย่างอยู่ แต่ไม่ได้เลวขนาดนั้นอาจจะเป็นตัวเองได้เต็มที่ ไปข้างนอกเป็นเรื่องของการทำงาน มีหน้าที่ความรับผิดชอบ แต่โตขึ้นไปเรื่อยๆตามอายุ เป็นประสบการณ์”

วันนึงหากเราต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวพ่อมีพูดแนะนำยังไงบ้าง

“พ่อบอกว่าสิ่งที่สำคัญ ถ้าจะมีครอบครัว เงินจะต้องเก็บที่ไหน เงินให้เก็บไว้ที่ภรรยา จริงๆ (หัวเราะ) ต้องมีเงินให้ลูกเรียนจบมหาวิทยาลัย ต้องคิดเลย หลังจากนั้นเป็นการใช้ชีวิตของเค้าแล้ว สิ่งที่สะสมมาจะทำอะไรได้บ้างในอนาคต เรื่องเงินเป็นสิ่งสำคัญในสมัยนี้ ไม่ใช่เบี้ยแลกมา” วันนึงมีครอบครัวเป็นของตัวเองจะทำได้ครึ่งแบบพ่อมั้ย “ทำได้ อาจจะไม่ 100 แต่ 99.99% ครับ” เน้นเรื่องความสุภาพ บุรุษมากน้อยแค่ไหน “พ่อมีมากๆ มีความเป็นสุภาพบุรุษมากๆ กับแม่ กับทุกคนด้วย ไม่เคยเห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน อย่างมากงอนกันตามประสาคนอยู่ด้วยกัน ซึมซับความกินอยู่ง่ายของทั้งคู่ การเทกแคร์ พ่อให้ความเสมอภาคกับแม่” พ่อเคยพูดอยากให้เราแต่งงานจะต้องเป็นแบบไหนมั้ย “ไม่เคยพูด ไม่บังคับ ไม่วางกรอบ แต่ไม่ใช่ไม่ยุ่งเลยจะเป็นห่วง ผมว่าที่พ่อถูกเลี้ยงดูมาให้เคารพความคิดส่วนบุคคล ผมเป็นลูก พ่อจะดูในกรอบความเป็นลูก อยู่ในความพอเหมาะพอดี”

ถ้ามองย้อนอดีต หากวันนั้นไม่มีพ่อเคยคิดมั้ยเราจะเป็นอย่างไร

“นั่นสิ ผมจะเป็นใครก็ไม่รู้ ดีแล้วที่เป็นแบบนี้” กิจกรรมทำกับพ่อบ่อยที่สุด “ช่วงว่างจะพาพ่อไปนั่งเล่น เวค ปาร์ค พ่อไม่ได้เล่นหรอกไปนั่งเล่น กินลมชมวิว ไปสูดอากาศเฉยๆ ไม่ได้เล่นหรอกเพราะเป็นกีฬาทางน้ำ พ่อเริ่มขี้เกียจไป ตอนนี้เห่อเครื่องออกกำลังกาย เครื่องจักรยานปั่นอยู่ที่บ้าน อย่างอื่นไม่เอา เลย เสื้อผ้าไม่เอา ยกเว้นแม่ไปห้างฯ แล้วซื้อมาให้ชีวิตผมมีได้ทุกวันนี้เพราะเค้า ถึงแม้จะไม่ได้เป็นดารา-นักแสดง แต่มีชีวิตทุกวันนี้ได้ จะเรียกว่าชุบชีวิตก็ว่าได้เพราะคุณพ่อมีความสุข มีครอบครัวที่ดี สถานะพออยู่พอกินพอใช้ได้เพราะคุณพ่อ”

ความฝันที่อยากทำให้พ่อแม่

“เรื่องเรียนใกล้เข้ามาใกล้จบ แต่สิ่งที่อยากทำ คืออยากพาคุณแม่คุณพ่อไปเที่ยวต่างประเทศ โดยที่ไม่ต้องทำงาน แต่คุณพ่อผมค่อนข้างดื้อไม่ค่อยอยากไปเที่ยวเท่าไหร่ ไปแป๊บนึงจะบ่นกลับบ้านแล้ว อยากพาไปมัลดีฟส์ ที่คิดไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากทำให้ พ่อบอกว่าจะไปทำไมมัลดีฟส์ ไปพัทยาก็มีทะเลเหมือนกัน แกกลัวเปลือง อยากอยู่บ้านมากกว่า น้ำท่วมยังไม่ไปเลย เปิดรูปให้ดูมันสวยพ่อก็บอกว่ามันก็เหมือนกัน (หัวเราะ) เป็นคนที่มัธยัสถ์มาก (ยิ้ม)”

เชื่อเหลือเกิ๊น...น จะต้องเป็น “ลูกไม้หล่นคาต้น” พ่อญี่ปุ่น อย่างแน่นอน...ใช่มั้ยจ๊ะพ่อแบรี่ คริคริ