Inside Dara
“จั๊กจั่น” เปลี่ยนมุมมอง ใช้สมองเรื่องความรัก

เรียกว่าเป็นการพลิกบทบาทครั้งใหญ่เลยทีเดียว สำหรับ จั๊กจั่น-อคัมย์สิริ สุวรรณศุข ที่กระโดดมาเล่นร้ายแบบสุดขั้วเป็นครั้งแรกใน “สุสานคนเป็น” งานนี้ “ดาวต่างมุม” เลยไม่รอช้า รีบนัดแนะเธอมาพูดคุยกันแบบส่วนตัว ทั้งเรื่องงานในวงการที่โลดแล่นอยู่บนถนนบันเทิงถึง 12 ปี รวมทั้งเรื่องของหัวใจที่ ณ วันนี้แม้ไม่มีใครจับจองแต่เธอก็ยังแฮปปี้สุด ๆ

ได้พลิกบทร้ายเป็น “รสสุคนธ์” รู้สึกยังไงบ้าง?

“จริง ๆ ตื่นเต้นมากค่ะ ด้วยความที่เป็นละครที่สร้างทุกครั้งก็ประสบความสำเร็จทุกครั้ง ส่วนตัวก็กลัวคนติดภาพลุคส์หวาน ๆ เราเลยต้องทำการบ้านอย่างดี ประกอบกับอยากเปลี่ยนลุคส์ด้วย เป็นครั้งแรกที่จั่นได้ทำสีผมแรง ๆ คือเราทำทุกอย่างเพื่อให้คนดูได้เห็นถึงความแตกต่างจากที่ผ่านมา สำหรับความยากของบท “รสสุคนธ์” คือตัวละครมันมีหลายสเต็ป ด้วยความที่เรื่องนี้เก็บฉากเป็นโลเคชั่น ไม่ได้ถ่ายเป็นตอนต่อเนื่อง ดังนั้นเราต้องรู้ว่าตอนนี้ต้องร้ายขนาดไหน ต้องตีความตัวละคร ซึ่งตัวละครเวอร์ชั่นนี้จะไม่ใช่ร้ายกรี๊ดกร๊าดเหมือนที่ผ่านมา จะมีมิติของความร้าย ร้ายแบบมีขั้นตอนที่เริ่มจากความกลัวจนสุดท้ายกลายเป็นอาการหลอน ประสาท จั่นไม่เคยเล่นร้ายมาก่อน พอได้เล่นเรื่องนี้ทำให้รู้เลยว่าบทร้ายนั้นมันเล่นยากจริง ๆ ก่อนรับบทนี้จั่นตัดสินใจไม่นานเลย พอพี่ตุ๊กตา-จิตรลดา ติดต่อมา บอกว่าเรื่องนี้เหลือบท “รสสุคนธ์” ที่เขาให้อยากจั่นเล่นมาก ๆ พอได้ยินแบบนี้ก็คิดว่าถ้าเราได้เปลี่ยนบทบาทบ้างก็ดี และก็อยากให้คนดูได้เห็นว่าเราเป็นนักแสดงที่เล่นได้หลายบทบาท ซึ่งความคาดหวังกับบทนี้ สำหรับจั่นเราและทีมงานเราตั้งใจกันมาก จั่นอยากให้คนดูเปิดมาดูแล้วบอกว่าจั่นไม่ได้เล่นเป็นคนเรียบร้อยได้อย่างเดียว ร้ายแบบนี้ก็ทำได้ดี ส่วนเรื่องการเปรียบเทียบมันต้องมีอยู่แล้ว แต่จริง ๆ จั่นคิดว่าเปรียบเทียบก็ได้ เพราะอย่างน้อยเขาก็ได้ดูผลงานของเรา แต่การเปรียบเทียบ จั่นอยากให้เข้าใจว่ายุคสมัยมันแตกต่างกัน เนื้อเรื่องก็มีการปรับให้ทันสมัยบ้างค่ะ”

ฉากเลิฟซีนกับ “เจมส์-เรืองศักดิ์” หวือหวาทีเดียว?

“เรื่องนี้ถึงเนื้อถึงตัวเยอะที่สุดในชีวิตการแสดงของจั่นเลย แต่เราตั้งใจกับมันแล้ว ก็โอเคทำเต็มที่ แต่จั่นก็มีลิมิตของจั่นนะ เช่น ฉากจูบเราก็ไม่ได้ลงลึกว่าต้องจูบดูดดื่มขนาดนั้น แต่จะสื่อให้เห็นว่าเราจะทำยังไงก็ได้เพื่อที่จะแย่งตัวชีพมาในทุกวิธี เพราะจริง ๆ เราก็ไม่ได้รักชีพ แต่รักที่เงินของเขา ซึ่งเราต้องทำการบ้านให้ดี อย่างจั่นเองจะบอกพี่เจมส์และพี่นุ-อนุวัฒน์ ผู้กำกับเองเลยว่าฉากนี้จั่นจะจูบพี่เจมส์จริงนะ เพื่อที่เราจะได้ถ่ายรอบเดียว ซึ่งผู้กำกับก็จะสั่งกล้องถ่ายไว้ทุกตัวทีเดียว แล้วเดี๋ยวเขาไปตัดต่อเอง ซึ่งแบบนี้มันก็เป็นการเซฟตัวเราเองด้วยค่ะ”

ล่าสุดกับงานถ่ายแบบชุดบิกินี่ที่เราถ่ายให้กับ “แพรว” เป็นครั้งแรก ก็ดูเซ็กซี่มากเหมือนกันนะ?

“ตอนแรกที่ถ่ายชุดว่ายน้ำครั้งนี้เพราะอยากให้มันเสริมกับช่วงที่ละครออนแอร์ แต่พอดีละครมีการเลื่อน จริง ๆ มันเป็นครั้งแรกที่จั่นถ่ายชุดว่ายน้ำเลย ตอนถ่ายที่ชายหาด จั่นก็บอกทางทีมงานว่าเราเขิน ให้พี่ผู้ชายออกไปก่อนได้มั้ย ซึ่งทางทีมงานก็น่ารักยอมออกไปให้ เหลือแต่พี่ช่างแต่งหน้าทำผมที่เราสนิท ที่จั่นตัดสินใจถ่ายเซ็กซี่ขนาดนี้ เพราะจั่นคิดว่าไหน ๆ เราได้เปลี่ยนลุคส์แล้ว และชุดว่ายน้ำมันก็มีติดต่อมาทุกปี ก็คิดว่าปีนี้เราพร้อมแล้วล่ะ เพราะจะให้เล่นบทเรียบร้อยแล้วอยู่ ๆ ลุกขึ้นไปเซ็กซี่เลย แฟน ๆ อาจจะงง ๆ ได้ ซึ่งครั้งนี้กระแสตอบรับค่อนข้างดี เราก็โอเคค่ะ แต่จั่นเองไม่ได้อยากพลิกลุคส์มาเป็นแนวเปรี้ยวเซ็กซี่นะ จั่นก็เป็นจั่นอย่างนี้ แต่ด้วยความที่เราเป็นผู้หญิง ครั้งหนึ่งเราอยากถ่ายเก็บไว้ดู”

อยู่ในวงการมี 12 ปีแล้ว ณ วันนี้รู้สึกยังไง?

“จริง ๆ ชีวิตในวงการจั่นก็ไม่ได้ค่อยหวือหวามาก ซึ่ง 12 ปีที่ผ่านมาจั่นได้รับอะไรมากมาย สอนจั่นได้เยอะมาก ทำให้เราได้เจอคนหลากหลายรูปแบบ รู้จักการวางตัวในสังคม รู้หน้าที่ของตัวเอง เพราะจั่นเข้าวงการตอนกำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ปี 3 ซึ่งตอนนั้นเรารับปากกับแม่ว่าจะไม่ทิ้งเรียน มันสอนให้รู้จักมีความรับผิดชอบ สอนไปถึงเรื่องที่ว่าบางเรื่องมันก็ไม่เป็นอย่างใจเราต้องการได้ทั้งหมด อันไหนที่เราทำเต็มที่ที่สุดแล้ว มันก็คือที่สุดแล้วล่ะ คงไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ รวมไปถึงคำวิจารณ์ต่าง ๆ บางทีเราเล่นละครเต็มที่ ก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ บางงานละครยังไม่ทันออนแอร์ก็โดนวิจารณ์ซะแล้ว คือเราไม่สามารถไปบังคับความคิดของคนได้เลย ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนสมัยที่เราเข้าวงการมาใหม่ ๆ ก็คงคิดว่าทำไมเขาคิดอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันดูเราเล่นเลย แต่พอมาถึงตอนนี้ เราก็เข้าใจได้หลายมุมมองมากขึ้น และทำให้เรารู้ว่าในโลกนี้มีคนรักก็ต้องมีคนเกลีด เราก็อย่าไปคิดอะไรมากค่ะ”

แล้วคิดว่าจุดที่ตัวเองยืนอยู่ประสบความสำเร็จแล้วรึยัง?

“ความสำเร็จของจั่นมันเทียบกับตัวเอง ไม่ได้เอาไปเทียบกับคนอื่นว่าจะยังไง เราเอาแค่ว่าวันนี้ของจั่นมีมากขึ้นกว่าเมื่อวาน เมื่อ 5 ปีที่แล้วจั่นยังไม่มีบ้าน แต่ตอนนี้จั่นมีบ้านแล้ว ก่อนหน้านี้จั่นมีแค่รถเก๋ง แต่ 3 ปีต่อมาจั่นมีรถตู้ และมาถึงวันนี้จั่นมีรถบ้านแล้ว เรามีอะไรเพิ่มมากขึ้นในแบบที่ไม่ได้มีอะไรหายไป ไม่ได้ต้องเอาอะไรไปจำนอง และคนก็รู้จักเรามากขึ้น อันนี้เป็นความสำเร็จของจั่นค่ะ ส่วนเรื่องการได้ถ้วยรางวัลจากเวทีต่าง ๆ ตรงนี้จั่นรู้สึกเฉย ๆ เพราะความสำเร็จจั่นมันไม่ได้อยู่ที่การได้ถ้วยรางวัลหรือไม่ได้ แต่ความสำเร็จจั่นมันอยู่ที่เราไปไหนแล้วมีคนจดจำเราได้ว่าเราเล่นเป็นตัวละครนี้ เรียกชื่อเราเป็นชื่อตัวละครนั้นมากกว่า”

ตอนนี้เริ่มมีคลื่นลูกใหม่ คิดยังไงกับเรื่องเหล่านี้?

“ดีนะคะ มันเป็นสีสันให้กับวงการของเรา จั่นไม่ได้กังวลอะไร เพราะเราวางสถานะของตัวเองว่าจะเป็นนักแสดง ก็อยากเล่นหลาย ๆ บทอยู่แล้ว ละครเรื่องหนึ่งก็มีตัวละครหลายช่วงอายุ มันก็เป็นธรรมดา สำหรับเรื่องที่หลายคนมองว่าเป็นการแทนที่กันรึเปล่า คือจั่นคิดว่าแต่ละคนมันก็มีคาแร็กเตอร์และเสน่ห์เป็นของตัวเอง จั่นก็เลยไม่ได้ซีเรียสค่ะ”

เราเองผ่านมาทั้งข่าวที่ดีและไม่ดี สิ่งเหล่านี้ให้อะไรมากที่สุด?

“มันทำให้เราเข้มแข็งขึ้นค่ะ เพราะสุดท้ายแล้วคนที่รู้ว่าเราเป็นยังไงก็คือตัวเราเอง ครอบครัวของเราและคนที่เราแคร์เท่านั้น ถ้าเราไปแคร์กับทุกเสียงของคนรอบข้างคงไม่ได้ ธรรมดาในวงการนักแสดงผู้หญิงก็ต้องมีข่าวเกาเหลา ข่าวชู้สาว มันทำให้รู้สึกว่าจะไปนั่งบอกทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจั่นคิดว่าถ้าพี่นักข่าวมาถาม เราก็ได้ชี้แจงไปแล้ว ก็จบ เลือกแคร์เฉพาะคนที่รักเราค่ะ ส่วนข่าวที่เกิดขึ้นหลายคนคิดว่าจั่นเป็นคนพูดตรง คือจั่นจะคิดแค่ว่าถามมาก็ตอบไป ไม่รู้จะตอบอ้อมค้อมไปทำไม ด้วยความที่จั่นไม่ใช่คนแรง ๆ อยู่แล้ว แต่ภาพลักษณ์จั่นเป็นคนที่มีอะไรก็พูดเลย มันทำให้เรารู้สึกเคลียร์ได้มากกว่า แต่อย่างช่วงตอนนั้นที่จั่นอกหัก เสียใจมาก ๆ มาถามจั่นตอบไม่ไหวจริง ๆ จั่นก็จะบอกว่าเลยว่าไม่ไหวจริง ๆ ค่ะ จั่นไม่เลือกการวิ่งหนีนะ แต่ก็ถ้าไม่ตอบจั่นก็จะบอกตรง ๆ”

คติในการใช้ชีวิตคืออะไร?

“อย่าพูดว่าทำไม่ได้ หากยังไม่ได้ลองทำ” เพราะตอนที่จั่นเล่นละครเรื่องแรก จั่นไม่เคยได้เรียนการแสดงมาก่อนเลย เราร้องไห้กับตัวเองว่าจะทำได้รึเปล่า แต่ก็มีคนพูดกับเราว่าลองทำมันรึยัง ก็เลยรู้สึกว่าทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเรา และอีกอย่างที่จั่นคิดอยู่เสมอก็คือ “สิ่งไหนที่มันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นมันย่อมดีเสมอ” คือแม้ว่าเรื่องนั้นมันจะทำให้เราเสียใจ ร้องไห้ แต่มันก็เป็นบทเรียนของเรา มันทำให้เรารู้ว่าต่อไปในอนาคต เราจะไม่ทำให้เป็นแบบนี้อีก หรือคิดอีกอย่างก็คือดีแล้วที่มันเป็นแค่นี้ ไม่ได้มีอะไรหนักกว่านี้”

วางแผนชีวิตในอนาคตยังไงบ้าง?

“คงเล่นละครไปเรื่อย ๆ แล้วก็คงทำธุรกิจของตัวเองควบคู่กันไป เรื่องงานในวงการจั่นอยากอยู่ให้ได้แบบอาดาว-ดวงดาว จารุจินดา หรือพี่นก-สินใจ ที่มีความสามารถมาก เล่นได้ทั้งบทร้ายและดี แล้วทำให้คนดูเชื่อ จั่นไม่ได้คิดไว้เลยว่าจะเกษียรอายุตัวเองเมื่อไหร่ ขอทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าตัวเองจะไม่ไหว ซึ่งถ้าอายุเยอะขึ้น จั่นคงเลือกบทมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสเรื่องบทแม่หรืออะไรนะ ส่วนเรื่องครอบครัวก็ไม่ได้วางเอาไว้ เฉย ๆ เลย เพราะเรามีความสุขกับตัวเองตอนนี้ ยังไม่ได้ซีเรียสว่าเราจะต้องแต่งงานในปีไหนหรือยังไง”

แล้วตอนนี้มีคนเข้ามาบ้างมั้ย?

“ตอนนี้โสดค่ะ มีคนเข้ามาแต่ยังไม่เจอคนที่ใช่ อย่างช่วงที่ผ่านมาเอาจริง ๆ จั่นก็มีคนคุยอยู่คนนึงนะ แต่มันก็ไม่ใช่ เรารู้สึกว่าถ้าเรายังทำงานในวงการ แล้วต้องมานั่งขออนุญาตกันตลอด เช่น ขอถ่ายชุดว่ายน้ำนะ มันก็ไม่ไหว เพราะจั่นดูแลตัวเองดีอยู่แล้ว การทำงานเรามีลิมิตอยู่แล้วว่าจะประมาณไหน จริง ๆ จั่นไม่ได้เข็ดเรื่องความรัก แต่เราใช้สมองในการเลือกความรักมากขึ้น ไม่ได้ตามใจตัวเองเหมือนเมื่อก่อน ด้วยความที่เราโตขึ้น ก็ไม่ได้ใช้แค่ใจคิดเรื่องความรักอย่างเดียว มุมมองความรักจั่น ณ วันนี้เปลี่ยนไปจากเดิมค่ะ เมื่อก่อนเรามองว่ามันสวยงาม เรามองมันด้านเดียว คือมันไม่ได้เหมือนอย่างในละครที่จบด้วยการแต่งงาน แต่ชีวิตจริงการแต่งงานมันเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ จั่นเลยค่อนข้างมองหลายมุมมากขึ้น ต้องคิดว่าแฟนที่จะเข้ามาอยู่กับเราจะเข้าใจเราและงานของเรามั้ย รักครอบครัวเรามั้ย หรือแค่เป็นโปรโมชั่นเท่านั้น”

ณ วันนี้ผู้ชายที่สามารถเข้ากับเราได้ต้องเป็นคนยังไง?

“รักครอบครัว รักสัตว์ และต้องรักการทำงาน ความซื่อสัตย์กับเราก็ต้องมีเป็นเรื่องพื้นฐานอยู่แล้ว จริง ๆ จั่นไม่อยากจะพูดว่าอยากได้อะไรมาก เดี๋ยวจะบอกว่าจั่นเป็นคนเยอะ แต่จั่นรู้สึกว่าถ้าเขารักครอบครัว รักสัตว์ พื้นฐานเขาก็ต้องเป็นคนที่มีจิตใจดี มีเมตตา ถามว่าจั่นเปิดใจรับใครบ้างมั้ย จริง ๆ ตอนนี้ขออยู่แบบนี้ก่อนดีกว่า ซึ่งไม่เหงาเลย มีอะไรให้ทำอีกเยอะ จั่นไม่กลัวว่าจะต้องขึ้นคาน เพราะอายุจั่นยังไม่เยอะเลย อีกสัก 4 ปีค่อยรู้สึกกลัว (ยิ้ม) แต่เอาจริง ๆ จั่นไม่ได้ซีเรียสเรื่องขึ้นคานเลยนะ เพราะคิดว่าแค่วันนี้เราตื่นขึ้นมาแล้วมีความสุขก็เพียงพอแล้ว คือพอเรามองเห็นเพื่อนเราที่ตอน 5 ทุ่มแฟนเขายังไม่กลับ เขาโทรฯตามแฟนว่าอยู่ไหน ก็ดูเขาไม่มีความสุข เห็นแบบนี้เราก็เริ่มระแวง แต่สำหรับเราทุกวันนี้ยังแฮปปี้ดี เลยรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องมีความรักแบบชู้สาวก็ได้”

สุดท้ายความรักในแบบที่ต้องการหรือที่คิดว่าเหมาะกับจั่นในช่วงเวลานี้เป็นยังไง?

“ความรักที่มาพร้อมความเข้าใจค่ะ ถ้าเขามีความเข้าใจให้กัน มันก็ไม่ทะเลาะกัน มันก็ไปกันได้ และก็จะตามมาด้วยการให้อภัย ไม่ว่าเขาหรือเราจะทำผิด จั่นไม่กลัวการแต่งงานนะ ยังเป็นผู้หญิงที่อยากมีครอบครัวอยู่ เพียงแต่เรารู้สึกว่ามันอาจจะยังไม่ถึงเวลา ถ้าถึงเวลาเมื่อไหร่มันก็คงใช่เอง ตอนนี้รีบร้อนไปมันก็เท่านั้นค่ะ”

โปรย “...จริง ๆ จั่นไม่ได้เข็ดเรื่องความรัก แต่เราใช้สมองในการเลือกความรักมากขึ้น ไม่ได้ตามใจตัวเองเหมือนเมื่อก่อน ...คือมันไม่ได้เหมือนในละครที่จบด้วยการแต่งงาน แต่ชีวิตจริงการแต่งงานมันเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่...”

ขอเป็นกำลังใจให้สาวสวยคนนี้ทั้งเรื่องงานที่เธอทุ่มเทเต็มที่ รวมทั้งเรื่องหัวใจที่ยังรอคนที่ใช่และเข้าใจกันนะจ๊ะ