Inside Dara
'นุ่น' เก่งจริง 'บ่วง' เปรี้ยง 'ร้าย' ก็รัก!

นุ่น–ศิรพันธ์ วัฒนจินดา นางเอกสาวซ่าส์ ที่ผงาด...กลับมาดังจาก “บทร้าย” ณ ตอนนี้ไปไหน ใครๆเรียกเธอว่า “ผีอีแพง” ละคร “บ่วง” ทางช่อง 3 ที่ นุ่น แสดงโชว์ของ แบบไม่มีกั๊ก เหมือนเป็นการกระตุ้น...กระทุ้ง ความสามารถในตัว นุ่น มีเท่าไหร่ ใส่ไม่ยั้งทำเอา “ผู้ชม” และ “แฟนละคร” กด “ไลค์” ให้ แทบไม่ทัน!

วงการมี “ดาว” ดวงใหม่ เกิดขึ้น แทบทุกวัน แต่มันจะสำคัญไฉน หากไม่ใช่ตัวจริง เข้าวงการมาประเดี๋ยวประด๋าว ก็กลายเป็น “ดาวดับ” ลาลับไป แต่สำหรับ นุ่น เปิดตัวเรื่องแรก เธอก็ดังเปรี้ยงในฐานะนางเอกใหม่จากภาพยนตร์เรื่อง “เพื่อนสนิท” ค่ายจีทีเอช เมื่อหลายปีก่อน ดังเหมือนพลุ...แล้วนักแสดงในหนังเพื่อนสนิท ทั้ง ซันนี่, เอ๋–มณีรัตน์ ก็แจ้งเกิดในวงการอยู่ได้ยาวอย่างถาวรเพราะฝีมือ


ส่วน นุ่น ก็เป็นนางเอกละคร ออกแนวอาร์ตๆ แนวๆ ด้วยบุคลิกมั่นใจ หน้าคมเข้ม ผิวสี ก็มีทั้งคนชอบมากกับชอบน้อย เพราะ นุ่น เป็นนางเอก “เพื่อนสนิท” แต่ตัวจริงเธอจะ “พูดเยอะ” กับคนสนิทเท่านั้น แต่พูดตรงโผงไปที คนฟังไม่ชอบก็มี นานาจิตตัง!

แต่ นุ่น กลับมาแจ้งเกิดเป็นนักแสดงมากฝีมือแถวหน้า กับบท “นางร้าย” แทนบท “นางเอก” ในเรื่อง “บ่วง” นุ่น แสดงให้คนเซอร์ไพรส์ ทั้งร้าย อาฆาต พยาบาท แย่งชิงรักหักสวาท ได้มันส์สะเด็ดยาด จนมีแต่คนชม เจอหน้าบอกเลยว่า “เกลียดอีแพง” ถือเป็นกระแสที่ดี เป็นกำลังใจจากคนดู บทร้ายของ นุ่น เบียดบท “นางเอก” ซะกระเด็น คนดูละครสมัยนี้มองขาด ถึง นุ่น จะเล่นบทร้าย แต่พวกเขาก็บอกเลยว่า ถึงร้ายก็รัก นุ่น เปิดร้าน “เฟรซบ็อก” สลัดคาเฟ่ ที่ย่านพุทธมณฑลสาย 3 ถนนเลียบคลองทวีวัฒนา แฟนละครยังนั่งรถไปถามหา อีแพง อยู่ไหม ขอถ่ายรูป ขอลายเซ็น อุดหนุนสลัดแล้วก็พากันกลับไป


อยู่วงการมา 8 ปี นุ่น ยอมรับว่าเธอไม่ได้คิดว่าตัวเอง ดังมากหรือดังน้อยไปกว่าเดิม ละคร “บ่วง” ถึงคนจะชมมากมาย แต่สำหรับ นุ่น แล้ว มันคืองานอีกชิ้นนึง ที่เรื่องนี้ออกไป คนก็เห็นคุณค่าของเธอ เปิดโอกาสให้เธอร่วมงานใหม่ๆอีกมากมาย นุ่น อยากเล่นละครเวที แต่ก่อนหน้านี้ไม่มีคนจ้าง “อีแพง” ทำให้เธอได้งานนี้ นุ่น ไม่กลัวติดภาพ “นางร้าย” เพราะตัวจริงเธอเป็น “แฟนแสนดี” ของหนุ่มตี๋ ท็อป–พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร


นุ่น เกิดปี “จอ” บางตำราบอกเป็นปีชงในปีนี้ แต่ของ นุ่น ถ้าจะเป็นปีชงก็ชงเข้มสุดๆ เพราะงานรุ่ง คนรุม เงินแยะ เปิดร้านอาหาร เสร็จ นุ่น ก็มีฝันจะทำธุรกิจผลิตภัณฑ์บำรุงผิว มองไกลถึงส่งออกนอกประเทศ แต่ นุ่น มีกฎเหล็ก รักท็อป แค่ไหนก็ไม่ชวนร่วมหุ้นทางธุรกิจ แค่เธอตัดปัญหา จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน! เพราะ นุ่น กับ ท็อป เคยผ่านการเลิกรากันมาแล้วครั้งนึง เพราะ ท็อป เป็นหนุ่มตี๋โลกส่วนตัวสูง พอมารักสาวผิวสีโลกส่วนตัวสูง ช่วงแรกก็เลยมีปัญหากันหนัก ถึงขั้น ท็อป ขอถอยห่าง ช่วงนั้น ท็อป เปิดร้าน “ECO Shop” ชีวิตยุ่งเหยิง นุ่น ช่วยทุกอย่าง เป็นทั้งกำลังใจ พีอาร์ ช่วยประชาสัมพันธ์ แต่เจอ ท็อป ติสต์แตก บอกเลิก นุ่น กลางอากาศ นุ่น หันหน้าพึ่งธรรมะ ไม่ทันไร ท็อป คิดได้ว่า นุ่น เป็นทุกสิ่ง ขาดกำลังใจ ขาด นุ่น เหมือนขาดใจ ท็อป ตามง้อ นุ่น ก็ยอมคืนดี จน ณ บัดนาว คบกันมาได้ 5 ปี ทะเลาะและรักกันจนรู้จักรู้ใจ นุ่น ชอบที่สุด เพราะเธอมองว่าการเลิกราในครั้งนั้นทำให้เพิ่มความเข้าใจ เธอพร้อมปรับตัวให้ ท็อป เพราะ ท็อป เป็นคนที่มีความชอบส่วนตัวสูง เปลี่ยนเขาไม่ได้ นุ่น ก็ขอเปลี่ยนตัวเอง อะไรที่ทำให้ไม่ขัดต่อความรู้สึก เธอพร้อมทำ


ท็อป เองก็ไม่ต้องหึงและหวง เพราะ นุ่น ไม่ถ่ายแบบหวือหวาจนน่าตกใจ เธอขออวดความ “คมเข้ม” ด้วยการถ่ายแบบสไตล์โบฮีเมี่ยนที่เธอชอบ ขึ้นปก TOUCH MAGAZINE ความรักลงตัว แต่ถ้าถามถึงงานวิวาห์ สำหรับคู่นี้คงอีกยาวไกล เพราะรักและดูแล ไปท่องเที่ยวโลกกว้าง ควงกันสวีท อิตาลี ไปโน้นนี่ด้วยกันตลอด วันเกิด นุ่น ที่ผ่านมา ท็อป ไม่ได้ให้ของขวัญชิ้นใหญ่ แต่จอดรถตัวเองทิ้งไว้ และนั่งแท็กซี่ไปหา คอยขับรถให้ นุ่น แค่นี้ก็ได้ใจ นุ่น ไปเต็มเปา งานวิวาห์เลยยังไม่สำคัญสำหรับเธอ เพราะ ท็อป เป็นชายที่ผู้หญิงต้องการ ปากร้าย จิตใจดี คอยเทกแคร์ แค่นี้แหละที่ “หนุ่มตี๋ชนะใจนุ่น”.

7 ปีกับการเดินทางที่แสนพิเศษของ "ดา เอ็นโดรฟิน"

เป็นนักร้องเสียงคุณภาพที่่เดินทางบนถนนสายดนตรีมานานกว่า 7 ปีเต็ม สำหรับสาวร่างเล็ก ดา-ธนิดา ธรรมวิมล หรือ “ดา เอ็นโดรฟิน” วันนี้ เลยขอมานั่งจับเข่่าพูดคุยถึงประสบการณ์ทำงานตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเธอ รวมถึงเรื่องความรักกับแฟนหนุ่ม แทน ฮองจูลี หนุ่มลูกครึ่งไทย-เกาหลี สมาชิกวงปริ๊นซ์ ที่หลายคนกำลังจับตามอง


อัพเดทผลงาน?

“ตอนนี้ดาปล่อยซิงเกิลอั้ลบั้ม “ดอกไม้ไฟ” ออกไปหมดแล้ว นับว่าเป็นปีที่ 7 ที่ได้ทำงานในแกรมมี่ เป็นปีที่หลายคนเรียกว่า “7 Years Itch (เซเว่น เยียร์ อิทช์)” มันอาจจะเกิดเรื่องราวที่ดีหรือไม่ดี แต่ดาคิดว่ามันเป็นปีที่ดีของดามาก ๆ เพราะกำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ด้วย เป็นการจัดที่อิมแพ็คอารีน่าครั้งแรก ถ้าใครเป็นแฟนเพลงเอ็นโดฟินมาตั้งแต่เด็ก ๆ (หัวเราะ) ก็จะรู้สึกว่าทำไมเราทำงานมานานขนาดนี้ พูดตรง ๆ ตอนเข้าวงการใหม่ ๆ ดาคิดแค่ว่าอยากออกอัลบั้มเฉยๆ เด็ก ม.5 คนหนึ่งได้ออกอัลบั้มกับแกรมมี่มันยิ่งใหญ่มากแล้ว แต่พอทำไปทำมามันยาวนานมาถึง 7 ปี ถือเป็นความโชคดีที่ดาได้อยู่กับทีมเพลงที่ดีมาตลอด ดังนั้นดาตั้งใจจะใส่ทั้งหมดที่ดามีอยู่ทั้ง 7 ปีที่มันผ่านมาให้อยู่ในคอนเสิร์ตครั้งนี้ อะไรที่เรารู้สึกว่าเราชอบ รู้สึกว่าเราทำได้ เราจะให้แฟนเพลงได้เห็นด้วย”


คิดว่าอะไรที่ทำให้เราอยู่ได้นานขนาดนี้?

“ดาดีใจที่เราเป็นนักร้องที่ขายดนตรี ขายเสียงร้องมาตั้้งแต่เด็ก ๆ เอ็มวีเพลง “สิ่งสำคัญ” ทำให้เรารู้สึกว่าเราโชคดี เพราะไม่เห็นหน้านักร้องเลย ทุกคนคิดว่าโฟร์-ศกลรัตน์ เป็นคนร้อง (หัวเราะ) คนจะบอกว่านักร้องน่ารักมากเลย เราเลยรู้สึกว่าเราโชคดีที่คนรักเราที่เสียง ซึ่งมันมีคุณค่ามากกว่าความสวยงาม ความหล่อเหลา เพราะฉะนั้นดาคิดว่าแฟนเพลงให้เรามาขนาดนี้ เราจะต้องไม่หลอกเขา คือเราต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ถ้าเพลงไม่เพราะก็ไม่ต้องไปปล่อย อย่าโกหกตัวเอง อย่าเข้าข้างตัวเองว่าท่อนฮุคโดน เนื้อเรื่องโดน แล้วไปซ่อมอย่างอื่นอีกที”

7 ปี บนถนนสายดนตรีให้อะไรกับดาบ้าง?

“ดาจะบอกก่อนว่าดาอยู่แฟลตตำรวจตั้งแต่เกิด คุณพ่อเป็นตำรวจ คุณแม่เป็นครู พอมาทำงานตรงนี้หนึ่งเลยคือ ดาได้บ้าน ได้รถ มีที่ทางทำให้ครอบครัวสบายขึ้น และสิ่งที่มันล้ำค่ากว่านั้นคืออาชีพที่มันไม่ต้องนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ซึ่งเป็นสิ่งที่เพื่อน ๆ หลายคนอิจฉา เพราะเพื่อนดาบางคนยังแปลภาษา นั่งทำเว็บเพจ เพราะฉะนั้นบางทีที่เราเหนื่อย เราก็จะคิดว่าเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนเหนื่อยกว่าเรา อาชีพเราไม่เหนื่อยหรอก เหนื่อยแป๊บเดียว เดี๋ยวก็หาย อีกอย่างดารู้สึกว่างานนักร้องมันเหมือนงานท่องเที่ยว ได้เจออะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลา มันสนุก อย่างเวลาขึ้นคอนเสิร์ตมันสอนเราได้อย่างดีเลยว่า เวลาคิวผิดจะทำยังไง พูดผิดจะทำยังไง ฯลฯ มันทำให้เรารู้สึกเหมือนนักบินว่าถ้าไม่เจอสถานการณ์แย่ ๆ เราก็แก้ไขปัญหาไม่เป็น”


7 ปีที่ผ่านมามีช่วงที่ท้อใจบ้างไหม?

“มีอยู่ช่วงอัลบั้ม 3-4 ตอนนั้นเรารู้สึกว่าชีวิตวัยรุ่นเราหายไปไหน เราไม่เคยได้ไปงานเฟรซชี่ เราไม่เคยรับน้อง ดาพลาดชีวิตช่วงมหาวิทยาลัยที่เขาว่าสนุกที่สุด ก็รู้สึกเสียใจนิดหนึ่ง แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร เราแลกกัน มองในทางที่ดีคือเราทำงานเร็วกว่าเพื่อน นอกจากนั้นก็ไม่เสียใจแล้ว พอความคิดมันพลิกว่าเราโชคดีกว่าเพื่อน ๆ ก็จะรู้สึกสบายใจ แล้วไม่กลับคิดเรื่องนั้นอีกเลย”


ลำดับความสำคัญในชีวิตยังไงบ้าง?

“อันดับหนึ่งคือ ครอบครัวก่อน เพราะดาอยู่แบบพอมีพอกินมาตลอด ตอนเด็ก ๆ มีเงิน ใช้ 50 บาท 40 บาท คือเราเป็นครอบครัวข้าราชการมีเงินเดือนที่มันเป๊ะ เราไม่ได้มีโบนัส หรือได้เงินเยอะ ๆ เป็นช่วง ๆ เราเลยคิดว่าครอบครัวเราต้องสบายก่อน เพราะฉะนั้นเราจะไม่รู้สึกเห็นแก่ตัว ถ้าเราจะให้เขาก่อน แล้วเราจะให้ตัวเองบ้าง อันดับสอง ก็คือตัวเอง และ อันดับสามเป็นเพื่อนร่วมงานกับความรักซึ่งดาให้ลำดับ เท่า ๆ กัน เพราะการทำงานดนตรีเพื่อนร่วมงานสำคัญมาก เราไม่สามารถจะเกิดจากตัวเราได้แค่คนเดียว ดาจะบอกตลอดว่าทีมเบื้องหลังเราเจ๋งมาก งานเราถึงได้มาถึงสายตาคนดูได้นานขนาดนี้ แล้วเรื่องความรักมันก็จะมาพร้อม ๆ กัน”

ดูเหมือนช่วงนี้ดาก็เปิดเผยเรื่องความรักมากขึ้น?

“เรียกว่ามีเวลาอยู่กับเขามากขึ้นมากกว่าค่ะ เพราะช่วงนี้ดาไม่รับงาน 2-3 เดือน คนอาจจะเห็นว่าเราพากันไปงานโน่นนี่นั่น จริง ๆ แล้วคือดาก็ให้เกียรติเขานะ เหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่เราสนิทที่สุด อย่างตอนเด็ก ๆ คนอาจจะถามว่านิยามคำว่า แฟนของดาคืออะไร ดาก็จะตอบอีกอย่างหนึ่งว่ารักก็คือรักมาก แต่พอโตขึ้นมาเรารู้สึกว่ารักอย่างเดียวมันไม่มีประโยชน์ เหมือนครึ่งหนึ่งของชีวิตดามันอยู่กับงานแล้ว เพราะฉะนั้นความเข้าใจต้องมาแรงกว่าสิ่งอื่นใด แล้วดาไม่ได้รักคนที่อิมเมจ ไม่ได้รักคนที่อำนาจหรือสถานะภายนอก เพราะมันไม่ได้เป็นอะไรที่ยั่งยืน ความจริงแล้วนิสัยลึก ๆ สำคัญที่สุด คือเหมือนเพื่อนแท้หนึ่งคนที่สามารถจะอยู่ด้วยกัน ดูแลกันเมื่อยามเจ็บป่วยได้”


ดากับแทนก็ดูติสท์ด้วยกันทั้งคู่?

“คือเขาชอบดนตรี เป็นเรื่องหนึ่งที่ดาประทับใจ ถ้าผู้ชายเล่นดนตรีมา ดาให้ใจไปครึ่งหนึ่งแล้ว ที่เหลือคือนิสัยส่วนตัว อย่างแทนเขาเคยเป็นศิลปินฝึกหัดในแกรมมี่ แล้วออกไปไล่ล่าความฝันของเขา ออกไปเป็นนักดนตรีกลางคืน หาประสบการณ์กลางคืน ก็เหมือนกับชีวิตดาตอนเด็ก ๆ กลางคืนเหมือนกัน ที่ออกไปเล่นผับให้ตัวเองเก่งขึ้น แล้วเขาก็เป็นคนติดดิน ซื่อ ๆ แบบงง ๆ (หัวเราะ) จริง ๆ เขาเป็นคนตลกขบขัน ไม่ใช่คนขรึมนะคะ แต่เขาจะพูดน้อย แล้วเราพูดเยอะ คืออย่างที่เขาบอกว่าตาชั่ง มันต้องการความบาลานซ์ไง (หัวเราะ) ดาว่าแรก ๆ คนเรายังไม่เจอข้อเสียกันหรอก แต่ในฐานะคนที่สนิทที่สุด เป็นแฟนที่เป็นเพื่อนได้เนี่ย เขาถือว่าเป็นคนที่พอดีสำหรับดา”

คบกันมานานแค่ไหนแล้ว?

“รู้จักกันมาประมาณ 3 ปี ส่วนที่คบหากันก็ประมาณ 9 เดือน คือตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเป็นแฟนกันด้วย เพราะดาคิดว่าชีวิตเราอย่าเพิ่งมีแฟนเลย อยากคุยไปอย่างนี้เรื่อย ๆ แต่คือช่วงนั้นก็คิดว่าต่างคนต่างไม่มีใคร ก็เลยมาลองคบกัน”


ทุกวันนี้เรียกว่าแฟนได้หรือยัง?

“เรียกว่า “แฟน” แต่ว่าเป็นแฟนที่เราแฮปปี้จะเป็นเพื่อนได้ด้วย คือเราเคยเห็นบางคนเป็นที่ต้องเป็นแฟนอย่างเดียว ซึ่งอันนั้นดาไม่ชอบ แฟนของดาก็จะเป็นเพื่อนได้ ถึงจะคุยและแชร์ได้ทุกเรื่อง สามารถคุยเรื่องดนตรีได้ ว่าเพลงนี้ คอร์ตนี้ฟังหรือยัง แล้วดากับแทนเรามีความเป็นเพื่อนกันครึ่งนึงเลย”


มีเวลาให้กันไหม ต่างคนก็ต่างไปร้องเพลง?

“โชคดีที่เราใช้ชีวิตกลางคืนด้วยกันทั้งคู่ เวลาดามีคอนเสิร์ตก็จะเลิกประมาณ 5 ทุ่มถึงเที่ยงคืน ส่วนตัวเขาเองก็เที่่ยงคืน ส่วนใหญ่ถ้าเจอกันก็คือช่วงเวลากินข้าวเย็น แล้วต่างคนต่างแยกย้าย คือเราพยายามที่จะหาเวลาให้กัน แต่่ไม่ต้องพยายามมาก ความรักถ้าพยายามมันจะกลายเป็นเรื่องทะเลาะกัน เราไม่ใช่เกณฑ์บังคับที่ต้องมานี่่เดี๋ยวนี้ (เสียงสูง) คือเราปล่อยสบาย ๆ อย่างเมื่อก่อนดาเคยซีเรียสกับเรื่องความรัก แล้วพอมาปล่อยมันหลวม ๆ แบบไม่มีขอบเขต ก็รู้สึกว่าสบายตัวมากขึ้น เขาก็สบายตัว เราก็สบายตัว”


มีโอกาสเจอคุณพ่อคุณแม่แต่ละฝ่ายหรือยัง?

“ทานข้าวกันทั่วไปเลย คือเพื่อนดาก็มีโอกาสไปเจอครอบครัวมาหมด ตัวแทนคุณแม่อยู่เมืองไทย คุณพ่ออยู่เกาหลี เขาก็อยู่ของเขาเอง ศุกร์-เสาร์ มีไปดินเนอร์กับแม่บ้าง แต่ไม่ได้บ่อย แต่ก็คือการทำให้เราไว้ใจซึ่งกันและกันมากขึ้น ที่ได้เห็นหน้ากัน”


อย่างล่าสุดควงกันไปงานแต่ง “ก้อย-โย่ง” มีความคิดอยากจะแต่งบ้างหรือยัง?

“เราก็บอกว่างานแต่งวุ่นเนอะ (หัวเราะ) แต่คือเราเข้าใจว่างานแต่งงานหลายคนทำเพื่อครอบครัวจริง ๆ ดาคิดว่ามันเป็นการขอบคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงเรามา เป็นงานให้เพื่อนฝูงมาเจอกัน แล้วก็แฮปปี้ว่าเพื่อนเราลงเอยแล้วนะแค่นั้น แต่ดาเห็นพี่ ๆ ทีมงานบางคนที่ไม่ได้แต่งงานก็อยู่กันมาเป็น 10 ปีแล้ว จริง ๆ งานแต่งงานก็สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือการที่อยู่เป็นเพื่อนกันจนแก่มากกว่า แล้วดาเชืื่่อว่าผู้หญิงกับผู้ชายทำงานหลายคนเดี๋ยวนี้ก็เห็นด้วยกับการอยู่กินกันแบบเพื่อนกันไปเรื่อย ๆ คืออาจจะมีแค่ทะเบียนสมรส แต่ไม่ต้องมีงานแต่งใหญ่โตก็ได้”


คุณพ่อคุณแม่ว่ายังไงบ้าง ที่เราคิดแบบนี้?

“ยังไม่เคยปรึกษาเลย เขาก็คงโกรธนะ (หัวเราะ) แต่สุดท้ายดาคิดว่าเขาเข้าใจ เพราะเราดำเนินทางมาสายที่่่่เป็นเรามาตั้ง 7 ปีแล้ว แต่ถ้าจะให้แต่งก็เอางบมาเราก็แต่ง คือถ้าพ่อให้เลือกเราก็ทำตามเขา แต่ถ้าให้เราเลือกเราก็ไม่จัดงานแต่งงาน”.

"น้องริด้า"สาวลูกครึ่งซิวมงกุฏมิสยูนิเวิร์สไทยฯ

เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. กองประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ร่วมกับสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 สก๊อต คอลลาเจน-คิวเท็น บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น บริษัท เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และโรงแรมสยามเคมปินสกี้ จัดการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ประจำปี 2555 รอบตัดสิน ที่สยามภาวลัย รอยัลแกรนด์เธียเตอร์ ชั้น 6 พารากอนซีนีเพล็กซ์ โดยมีกนิษฐ์ สารสิน และอลิซาเบธ แชดเลอร์ รับหน้าที่พิธีกร

ในรอบตัดสินนี้คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน ประกอบด้วยพ.ญ.ปรียา กุลละวณิชย์, เพ็ชรากรณ์ วัชรพล, ภัทรา ศิลาอ่อน, อาภัสรา หงสกุล, ปรีชา เถาทอง, สุดารัตน์ บูรพชัยศรี, ถกลเกียรติ วีรวรรณ, วิลักษณ์ โหลทอง และอรรคพันธ์ นะมาตร์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประกวดเริ่มขึ้นในเวลา 19.25 น. ด้วยการเปิดตัวสาวงาม 44 คนในชุดว่ายน้ำจากบีเอสซี พร้อมแนะนำตัว จากนั้น 44 สาวงามได้อวดโฉมชุดว่ายน้ำทูพีชพร้อมเสื้อคลุมอีกครั้งประกอบการแสดงพิเศษชุด “รัก จับ ใจ” จาก บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว

จากนั้นเข้าสู่ความระทึกด้วยการประกาศผู้เข้ารอบ 12 คนสุดท้าย ได้แก่ หมายเลข 43 หมายเลข 10 หมายเลข 6 หมายเลข 8 หมายเลข 36 หมายเลข 1 หมายเลข 25 หมายเลข 26 หมายเลข 31 หมายเลข 35 หมายเลข 22 และ หมายเลข 3

ต่อมาผู้เข้ารอบ 12 คนสุดท้ายขึ้นปรากฏตัวบนเวทีอีกครั้งในชุดเสื้อผ้าจากโนริโกะ พร้อมการแสดงจากว่าน ธนกฤต พานิชวิทย์, นัท ณัฐมน กฤษณคุปต์ อดีตมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ประจำปี 2552 ไข่มุก ชุติมา ดุรงค์เดช และอดีตมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ปี 2550 กวาง ฟ้ารุ่ง ยุติธรรม ในเพลง“"ระยะปลอดภัย”

ตามด้วยการแสดงพิเศษ “เดือนในหมู่ดาว” โดยเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ พร้อมการเดินอวดโฉมในชุดราตรีของสาวงาม 12 คนสุดท้าย ก่อนจะเข้าสู่การประกาศผลตำแหน่งพิเศษอีกหนึ่งตำแหน่งคือ “ขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน” ได้แก่ หมายเลข 26 น้องพิม น.ส.อริยดา พริ้งสกุล อายุ 18 ปี นักศึกษาปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยมหิดล ชาวนนทบุรี รับรางวัลเงินสด 2 แสนบาท พร้อมถ้วยเกียรติยศและสายสะพาย พร้อมผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบีเอสซี คอสเมโทโลจี ใช้ตลอดปี ตามด้วยการประกาศผล “มิสป๊อปปูลาร์” จากบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้แก่ หมายเลข 4 น้องจ๊ะโอ๋ น.ส.พัทธวรรณ เจียมสกุลศักดิ์ นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ รับรางวัลเงินสด 3 หมื่นบาท พร้อมสายสะพาย

ก่อนหน้านี้ผู้จัดการประกวดประกาศตำแหน่งพิเศษไปแล้ว 3 ตำแหน่ง ได้แก่ ตำแหน่ง “นางงามผิวสวย” โดยสก๊อต คอลลาเจน-คิวเทน ตกเป็นของน้องลี่ลี่ น.ส.สิริน ไตรวุฒิพิพัฒน์กุล หมายเลข 3 อายุ 21 ปี นักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รับเงินรางวัล 1 แสนบาท พร้อมสก๊อต คอลลาเจน-คิวเทน ดื่มฟรีตลอดปี, “นางงามสุขภาพดี” โดย บีอิ้งค์ จาก บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ตกเป็นของน้องยีน น.ส.เกวลิน ศรีวรรณา หมายเลข 1 นิสิตคณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกนาฏศิลป์สากล มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ รับรางวัลเงินสด 1 แสนบาท พร้อมสายสะพาย และ “ตำแหน่งนางงามบุคลิกภาพดี” โดยน้ำดื่มสิงห์ จากบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ตกเป็นของน้องริด้า น.ส.ฟาริด้า วัลเล่อร์ ซึ่งใช้ชื่อไทยในการประกวดว่า น.ส.ณัฐพิมล นาฏยลักษณ์ หมายเลข 43 นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ จุฬา ลงกรณ์มหาวิทยาลัย รับรางวัลเงินสด 1 แสนบาท พร้อมสายสะพาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่านาทีระทึกใจมาถึงอีกครั้งเมื่อพิธีกรประกาศผลสาวงามเข้ารอบ 5 คนสุดท้าย ได้แก่ หมายเลข 43 น้องริด้า น.ส.ณัฐพิมล นาฏยลักษณ์ อายุ 18 ปี นิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากจ.กระบี่, หมายเลข 10 น้องแนน น.ส. สุพัตรา จูเจริญ นักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จากจ.สมุทรสาคร, หมายเลข 1 น้องยีน น.ส.เกวลิน ศรีวรรณา อายุ 20 ปี นิสิตคณะศิลปกรรมศาสตร์ มศว, หมายเลข 25 น้องกวาง น.ส.พรภัสสร อัตถปัญญาพล อายุ 19 ปี นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จากจ.เชียงใหม่ และหมายเลข 31 น้องมายด์ น.ส.วรัทยา ว่องชยาภรณ์ อายุ 19 ปี นักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม จากจ.สงขลา

หลังจากสาวงามทั้ง 5 ตอบคำถามเพื่อเรียกคะแนนจากคณะกรรมการเป็นครั้งสุดท้าย ท่ามกลางกองเชียร์ที่เข้ามาร่วมให้กำลังใจคึกคักพร้อมชูป้ายไฟ น้องฟ้า ชัญษร สาครจันทร์ ได้ออกมากล่าวอำลาตำแหน่งมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ประจำปี 2554

กระทั่งเวลา 20.14 น. ถึงช่วงการประกาศผลตัดสิน เริ่มจากรองมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 3 ตำแหน่ง ได้แก่ หมายเลข 25 น้องกวาง น.ส.พรภัสสร อัตถปัญญาพล หมายเลข 1 น้องยีน น.ส.เกวลิน ศรีวรรณา และหมายเลข 10 น้องแนน น.ส.สุพัตรา จูเจริญ รับเงินรางวัลคนละ 2 แสนบาท พร้อมสายสะพายและถ้วยเกียรติยศ และแล้ววินาทีสำคัญก็มาถึง เมื่อพิธีกรประกาศผลตัดสิน ซึ่งผู้ได้รับตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ประจำปี 2555 ได้แก่ หมายเลข 43 น้องริด้า น.ส.ณัฐพิมล นาฏย ลักษณ์ อายุ 18 ปี นิสิตคณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาวงามจากจ.กระบี่ เจ้าของความสูง 172 ซ.ม. น้ำหนัก 51 ก.ก. สัดส่วน 32-23-36 รับรางวัลเงินสด 1 ล้านบาท มงกุฎเพชรและชุดเครื่องประดับจากบิวตี้ เจมส์ สายสะพาย ถ้วยเกียรติยศ รถยนต์โตโยต้า นิว พริอุส ของรางวัลและผลิตภัณฑ์จากผู้สนับสนุน พร้อมเป็นตัวแทนสาวไทยเข้าประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2012 ปลายปีนี้ ส่วนรองมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์อันดับที่ 1 ได้แก่ หมายเลข 31 น้องมายด์ น.ส.วรัทยา ว่องชยาภรณ์ อายุ 19 ปี รับรางวัลเงินสด 5 แสนบาท สายสะพาย และถ้วยเกียรติยศ พร้อมของรางวัลจากผู้สนับสนุน ในช่วงตอบคำถามน้องริด้าจับซองได้คำถามที่ว่า 3 คำที่อธิบายความเป็นตัวคุณคืออะไร น้องริด้าตอบว่า “ฝันให้ไกล ไปให้ถึง ทำทุกวินาทีให้ดีที่สุด” ฝันให้ไกลคือตนเองมีความฝันมาตั้งแต่เด็กว่าอยากมาประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ไปให้ถึงคือวันนี้ได้มายืนบนจุดนี้เป็นเวทีที่มีเกียรติ และทำทุกวินาทีให้ดีที่สุดคือทำให้สุดความสามารถ และถ้าได้รับตำแหน่งจะทำให้ดีที่สุด โดยก่อนหน้านี้น้องริด้าคว้ารางวัลนางงามบุคลิกภาพดีมาครองด้วย

น้องริด้าเป็นลูกครึ่งไทย-ออสเตรียโดยเป็นบุตรสาวคนเดียวของนางสุพรรณ วรรณปัด อายุ 39 ปี และนายมิคาเอล วัลเล่อร์ อายุ 75 ปี ประกอบธุรกิจส่วนตัวร้านอาหาร และเดินทางจากจ.กระบี่มาให้กำลังใจลูกสาวด้วย โดยนางสุพรรณเผยความรู้สึกหลังลูกสาวคว้ามงกุฎมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ว่า น้องริด้าเป็นเด็กที่ตั้งใจ เชื่อฟังทุกอย่าง อยากทำอะไรจะต้องทำให้ได้ เป็นเด็กเรียนเก่ง ไม่เคยเรียนพิเศษ แต่ฝึกฝนด้วยตัวเองมาตลอด ทั้งเป็นเด็กมัธยัสถ์ ไม่ซื้ออะไรง่ายๆ หากจะซื้ออะไรจะมาปรึกษาคุณแม่ก่อน รวมทั้งการมาประกวดนางงามก็จะมาปรึกษา

นางสุพรรณกล่าวว่า น้องริด้าชื่นชอบการประกวดนางงามมาตั้งแต่เด็ก ก่อนมาประกวดได้ศึกษาการประกวดจากเวทีต่างๆ ทางอินเตอร์เน็ต และตั้งใจทำจนมาถึงวันนี้ สำหรับเรื่องเรียนคิดว่าน้องสามารถทำได้ควบคู่กับการทำหน้าที่มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ และถ้าจะเข้าสู่วงการบันเทิงไม่มีเรื่องอะไรต้องกังวล แล้วแต่น้องจะพิจารณา

นางสุพรรณกล่าวว่า ลูกสาวมีความสามารถพิเศษรำไทยและดำน้ำ พูดได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาเยอรมัน สำหรับอาหารที่ชอบคือเมนูปลา และกินมังสวิรัติในวันพระ รวมถึงชอบรับประทานผลไม้

ด้านคุณพ่อมิคาเอลกล่าวว่า ตอนแรกไม่ได้คาดหวัง ติด 1 ใน 5 ก็ดีแล้ว น้องริด้ามาประกวดครั้งนี้ได้มาขออนุญาตว่าจะมาประกวดนางงาม ได้บอกไปว่ามีคนสวยกว่าลูกตั้งหลายคน และใกล้เปิดเทอมแล้วด้วย แต่สุดท้ายก็อนุญาตให้มาประกวด ตอนนี้ยินดีมาก มีความสุข ภูมิใจในลูกสาวคนนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับชื่อภาษาไทย กองประกวดแจ้งว่าเป็นชื่อที่คุณแม่ตั้งให้ตั้งแต่เด็ก และได้เปลี่ยนก่อนการคัดตัว 44 คน ส่วนนามสกุลตั้งขึ้นใหม่เพื่อใช้ในการประกวดครั้งนี้

น.ส.ประณม ถาวรเวช ผู้จัดการกองประกวด เปิดเผยว่าน้องริด้า ณัฐพิมล นาฏยลักษณ์ นับเป็นสาวลูกครึ่งคนแรกที่คว้ามงกุฎในเวทีนี้เพื่อเข้าชิงมิสยูนิเวิร์ส