Inside Dara
"อายส์"ใช้หัวใจเล่นละคร โลกมายาสอนใหรู้จักไตร่ตรอง

ดังจากบท "สุคนธรส" นางเอกซีรีย์ดัง "เดอะ ซิกธ์เซ้นส์ สื่อรักสัมผัสหัวใจ" และบท "น้ำใส" ในละคร "เหนือเมฆ 2" สำหรับนางเอกสาว "อายส์"กมลเนตร เรืองศรี

ล่าสุดฉีกมารับบทร้ายทาสสาว "บุญเจิม" ที่รักแรงแค้นแรงในละคร "ลูกทาส" ช่อง 3 ค่ายทีวีซีน ที่ทำให้เธอดังอีกครั้ง

ฟีดแบ็กบท "บุญเจิม" ใน "ลูกทาส" เป็นยังไงบ้าง?

อายส์ - "ดีกว่าที่คิดมาก คนดูจะบอกว่านังเจิมนี่คนเดียวกับสุคนธรส ซิกธ์เซ้นส์ เหรอ คนดูในทวิตเตอร์จะเรียลไทม์แฮชแท็กมาว่าลูกทาส เราก็กดดู ด่าบุญเจิมเยอะมาก แต่พี่แอ๊กติ้งโคชบอกว่ามันคือการประสบความสำเร็จ ในเมื่อเล่นบทแบบนี้ก็ต้องเป็นแบบนี้ เรามีหน้าที่ทำให้ดีที่สุด"

"โชคดีที่ทุกวันนี้คนดูรู้ว่านี่คือการแสดง ถ้าเป็นสมัยก่อนไปเดินตลาดอาจถูกตบ วันก่อนไปเดินเอเชียทีค แม่ค้าทักว่าน้องอายส์เมื่อคืนร้ายมากเลย เหมือนโซเชี่ยลทำให้คนดูกับนักแสดงใกล้กันมากขึ้น บางทีเขาตามฟอลโลว์ไอจีหรือ ทวิตเตอร์เราก็จะทำให้รู้จักตัวตนเรามากขึ้น"

รู้สึกอย่างไรกับการรับบทร้ายครั้งแรก

อายส์ - "สนุกดีค่ะ ตอนแรกไม่อยากเล่นเลย เป็นพีเรียด ต้องนุ่งผ้าแถบ แล้วทรงผมต้องทำยังไง เราหูกางด้วย ไม่เอาๆ แต่ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อช่องบอกต้องเป็นเรา ก็ไปคุยกับพี่กิ๊ก (มยุริญ) เพราะตอนได้บทมาหลังไปปฏิบัติธรรมไม่กี่สัปดาห์ ใจเราสงบ ถ้ามีความโกรธเข้ามาจะรู้สึกเป็นกิเลส จิตใจจะหมองมัว ซึ่งบทบุญเจิมนี่กิเลสล้วนๆ รัก หลง โกรธ โมโห พี่กิ๊กก็บอกว่าบนโลกนี้ไม่มีใครคิดว่าตัวเองร้ายหรอก ทุกคนมีเหตุผลในการทำทั้งนั้น แค่ไปหาเหตุผลให้บุญเจิมว่ามีเหตุผลอะไร มันคือการบ้านที่ต้องทำความเข้าใจตัวละคร"

รู้สึกอย่างไรที่พี่ปิ่น (ณัฏฐนันท์) บอกว่าบทนี้ต้องเป็นเราเล่น

อายส์ - "ตอนแรกเครียดและกดดันมาก วันที่เข้าไปคุยกับอาปิ่น อาถามว่ามีอะไรจะพูดไหมหรือเครียดเรื่องอะไร ตอนนั้นคือเครียดทุกอย่าง แต่ก็ตอบไปว่าหูหนูกาง ไม่อยากทำผมทรงดอกกระทุ่มค่ะ (หัวเราะ) ตอบไปแค่นี้ แต่อาบอกไม่ได้ ละครเป็นสมัยรัชกาลที่ 5 ทาสไม่มีไว้ผมยาว แต่ในใจจริงๆ เรากลัวเล่นไม่ได้แต่ไม่กล้าบอก"

แต่หลังละครออนแอร์ ฟีดแบ็กดี เหมือนได้พิสูจน์ฝีมือ

อายส์ - "ขอบคุณมากจริงๆ บอกตรงๆ เรื่องนี้บุญเจิมไม่สวยเลย เรามีข้อบกพร่องตรงที่ผอมมาก แต่ไปดูกระแสในพันทิปต้องขอบคุณทุกคนมากที่มองข้ามจุดด้อยเราไป"

"อายส์ไปคุยกับพี่จ๊ะ (จิตตาภา) ว่าทำไงดี ต้องใส่ผ้าแถบ แย่แน่เลยหูกาง ทำผมทรงดอกกระทุ่มอีก หน้าก็ดำ พี่จ๊ะบอกว่าที่พูดมาทุกอย่างคือเอ๊าเตอร์ แกกำลังกังวลกับเอ๊าเตอร์ แกไปสนใจอินเนอร์ดีกว่าว่าแกเล่นได้รึเปล่า เรื่องเสื้อผ้าหน้าผมปล่อยเป็นหน้าที่ทีมงาน แล้วพี่จ๊ะก็ส่งไลน์บอกว่าซีนไหนที่เล่นดี เช่นซีนที่โดนพี่บุญมีตบหน้า ตอนนั้นเราเล่นออกมาอินเนอร์มาก เห็นไหมว่าคนไม่เห็นมองเลยว่าแกหูกางไหปลาร้าโผล่ แต่สิ่งที่คนพูดถึงเขาชมว่าแกเล่นดีนะ พี่จ๊ะโทร.มาให้กำลังใจ"

ตอนนี้พอใจผลงานแค่ไหน

อายส์ - "ก็ไม่ถึงว่าพอใจร้อยเปอร์เซ็นต์ มีบางอย่างที่คิดว่าถ้าย้อนกลับไปได้อยากจะไปแก้ไข แต่เมื่อทำไม่ได้ก็ขอเป็นงานต่อไปอยากพัฒนาให้ดีขึ้น ไม่ต้องแข่งกับใคร ขอแข่งกับตัวเอง"

"อายส์รู้ตัวเป็นคนพูดเร็ว เวลาเล่นละครอยากพูดช้าลงกว่านี้จะดูมีสติขึ้น ถ้ามีโอกาสอยากไปเรียนการแสดงเพิ่ม"

นอกจากลูกทาส มีผลงานอะไรอีก

อายส์ - "ตอนนี้ถ่าย "เพลิงฉิมพลี" อยู่ค่ะ เล่นกับพี่เบลล่า-ราณี คาแร็กเตอร์ต่างจากบุญเจิมมาก เล่นเป็นครู แต่ตอนเริ่มเรื่องเป็นเด็กอายุ 16 ปี เอาแต่ใจ มีโรคประจำตัว ต้องแสดงออกมาให้แววตาเป็นเด็ก"

เข้าวงการมาได้ไม่นาน แต่ได้รับโอกาสรับบทหลากหลาย

อายส์ - "เป็นโอกาสที่ช่องให้มากกว่า จริงๆ เขาให้โอกาสทุกคน นายประวิทย์ (มาลีนนท์) บอกไม่ต้องกลัว เด็กใหม่ถึงจะมีทุกวันแต่ละครก็ยังผลิตไม่ทัน อายส์ว่าช่องพร้อมดันทุกคน"

งานในวงการบันเทิงให้อะไรกับเราบ้าง

อายส์ - "ให้เยอะมาก ได้เจอคนหลายแบบ วงการบันเทิงมีสิ่งยั่วยุแสงสีเสียง ถ้ากระโจนเข้าไปเต็มตัวอาจทำลายเราได้ อยู่ตรงนี้ภาษีสังคมสูง การใช้เสื้อผ้าการแต่งกายการใช้ของ ถ้าไหลไปกับมันเราก็แย่ หาเงินเท่าไหร่เอาไปลงตรงนั้นก็หมด มันทำให้เรารู้จักคิดรู้จักมอง ทำให้คิดว่าเข้ามาทำงานตรงนี้เป้าหมายในชีวิตเพื่ออะไร ดังนั้นจะรู้ว่าเราใช้ชีวิตยังไงเพื่อเอาชีวิตไปอยู่ตรงเป้าหมายให้ได้"

"วงการทำให้ได้ทำงานที่รัก ได้เล่นละคร ไม่ใช่ทุกคนจะเล่นได้ ไม่ได้บอกว่าอายเก่งแต่อายส์มีโอกาสที่ดี ผู้ใหญ่ให้โอกาส ได้พัฒนาฝีมือ จากแต่ก่อนอยากลาออกตั้งแต่ 3 เดือนแรก แค่เสี้ยวหนึ่งของการตัดสินใจทำให้ โตขึ้น"

วางแผนอนาคตในวงการอย่างไร

อายส์ - "อยากอยู่เบื้องหลังนะ ตอนนี้มีผู้ใหญ่ให้โอกาสเราไปลองทำงานเบื้องหลังดูว่าชอบไหม แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะยังไง เพราะอายส์เรียนจบมา ทางนี้ ยังไงต้องทำงานตรงนี้ หนีไม่พ้นหรอกค่ะ"

"ส่วนงานเบื้องหน้าอายส์รักการเล่นละครมาก จากตอนแรกไม่เลย ไม่เก็ตการแสดง แต่พอเก็ตแล้วสนุก ตอนนี้พอใจและมีความสุขกับการเป็นนักแสดง ชอบคำนี้มาก เพราะคำว่านักแสดงดูมีเกียรติมาก มันคืออาชีพอาชีพหนึ่งที่ใช้อารมณ์และหัวใจทำงานและร่างกายด้วย อารมณ์หมายถึงว่าคุณต้องเข้าใจอารมณ์ตัวละคร หัวใจก็คือเมื่อไหร่ที่หัวใจเราเต้นเป็นจังหวะเดียวกับตัวละคร เมื่อนั้นเราจะไม่ได้เล่นละคร"

เพราะทุกอย่างคือธรรมชาติ
คุยหนุ่มนอกวงการ-ต่างเข้าใจกัน

ทําเอาหนุ่มๆ อกเดาะกันเป็นแถว เมื่อนางเอกสาว "อายส์-กมลเนตร" ออกมาเปิดปากยอมรับเรื่องหัวใจ ว่ากำลังคุยอยู่กับหนุ่มนอกวงการ

"จริงๆ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมฯ ในชีวิตอายส์ไม่ค่อยชอบความสัมพันธ์ที่มาจีบ มีความรู้สึกว่าตัวเองโต กว่าคนที่อายุเท่ากัน ไม่ค่อยชอบการกระทำอะไรที่เป็นเด็กๆ หรือวัยรุ่นที่เขาทำกัน จะไม่อินกับการเป็นวัยรุ่นเท่าไหร่ค่ะ"

แสดงว่าหนุ่มคนนี้ต้องมีความเป็นผู้ใหญ่ เจ้าตัวรับ "ใช่ค่ะ ถึงแม้เราจะรุ่นเดียวกันแต่เราก็โตพอจะรู้ว่าทุกวันนี้เราเรียนจบมาจะทำอะไร เรามีภาระที่บ้าน มีครอบครัว เราต้องโฟกัสกับสิ่งที่เราต้องทำ เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะคุยกับเรา จะอยู่กับเราได้ ความเข้าใจและทัศนคติในการใช้ชีวิตมันต้องเป็นไปในทางเดียวกัน"

"เพราะมันมีบางคนที่มาคุยกับเรา ชวนออกไปเที่ยวไปโยนโบว์ล ในสมัยเรียนจะมีคนเข้ามาลักษณะนั้น ซึ่งรู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว ไม่ค่อยชอบฟีลนี้ แต่อายส์ไม่ได้ซีเรียสกับการใช้ชีวิตนะ แค่เราโฟกัสให้ถูก ทำอะไรให้สบายใจ อาจด้วยเราดูแลที่บ้านมาด้วย ดูแลตัวเองตั้งแต่อายุ 18 ปี ตั้งแต่วันที่บอกพ่อว่าหนูแคสต์งาน หนูมีเงิน หนูจ่ายค่าเทอมเอง พอไม่ขอเงินพ่อแม่เราก็เลยไม่ใช่คนที่จะไปกินเล่นเที่ยวปาร์ตี้"

ณ ตอนนี้เรียกว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นแบบไหน "ก็สนิทที่สุด เป็นคนที่คุยได้เวลามีปัญหาก็รับฟังกัน คือมันโตๆ กันแล้ว"

พอทำงานในวงการบันเทิง มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไหม นางเอกสาวกล่าวว่า "ไม่นะคะ อายส์ก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม คืออยู่ในสายตาผู้ใหญ่ เราต่างคนต่างรู้จักพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย เราเข้าใจกัน เพราะคนที่จะคุยกับอายส์ได้ต้องเข้าใจอายส์"

เริ่มมีชื่อเสียงกลัวคนจับจ้องความสัมพันธ์หรือเปล่า "ไม่กลัวนะคะ เพราะไม่ได้ทำอะไรเสียหาย เราก็เข้าใจว่าพี่นักข่าวถ้าเรายิ่งปิดเขาก็ยิ่งอยากแงะ ก็บอกตรงๆ พูดความจริง ไม่ได้โกหก ถ้าเราโกหกว่าหนูไม่มีคนคุยค่ะ โสดสนิทเลย แต่เห็นไปเดินกับใครเขาก็อยากจะรู้แหละ แต่พอเราพูดความจริง ทุกคนรู้พอเห็นเราเดินไปด้วยกันเขาก็รู้ว่าอ๋อนั่นไง แค่นั้นเอง แต่เราไม่ได้ไปทำอะไรที่ไม่ดีอยู่แล้ว ไม่ได้ปิดและไม่ก็ไม่ได้จะเปิดว่าแกรนด์โอเพนนิ่งขนาดนั้น เพราะเรายังมีความรู้สึกว่าเราคือคนปกติ เพียงแค่ประกอบอาชีพนักแสดง แต่เราไม่ได้มีวิธีใช้ชีวิตแบบดารา ซึ่งดารากับนักแสดงต่างกันนะ อายส์จะใช้ชีวิตให้ตัวเองโอเค บ้านเราและผู้ใหญ่ทางช่องโอเค"

มองความรัก ณ ตอนนี้เป็นอย่างไร ดาราสาวตอบ "สุดท้ายแล้วถ้าคนนี้ใช่จริงๆ ก็ต้องคือคู่ชีวิต เป็นเพื่อนที่ใช้ชีวิตด้วยกันเหมือนพ่อกับแม่ ซึ่งเราก็ต้องเข้าใจกันค่ะ"

บาลานซ์ชีวิต

ถูกเลี้ยงมาแบบอิสระ สาว "อายส์-กมลเนตร" เลยดูเป็นเด็กค่อนข้างทะโมน โดยเจ้าตัวเล่าชีวิตวัยเด็กให้ฟังว่า

"ตอนเด็กๆ ชอบเล่นกับพี่ๆ ผู้ชายข้างบ้าน เล่นปืนอัดลมกัน (หัวเราะ) เอาแว่นตากันน้ำมาใส่ป้องกันตา กลัวตาบอด ซนมาก ขณะเดียวกันอายก็เป็นเด็กเนิร์ดมาก เป็นเด็กที่ต้องมีมาตรฐานในชีวิต เกรดต้องเป็นแบบนี้นะ ตอนนั้นรู้สึกว่าคนเรียนเก่งคือคนดี ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เสมอไป บางทีคนเรียนเก่งเห็นแก่ตัวก็มี บางคนโกงก็มี พอโตมาก็ได้เรียนรู้ ความคิดก็เปลี่ยนไป"

นางเอกสาวเล่าอีกว่า "ที่บ้านเลี้ยงมาแบบปล่อยให้อิสระ อยากเรียนอะไรเรียน อยากทำอะไรทำ แต่อยู่ในกรอบ เป็นคนกล้าแสดงออกตั้งแต่เด็ก เป็นเด็กกิจกรรมคนหนึ่งเลย อายส์ชอบอ่านหนังสือ หนังสือมันสอนและเปิดอีกโลกหนึ่งให้เราค่ะ"

"อายส์-กมลเนตร" เป็นลูกสาวคนเดียวที่กล้าตัดสินใจเลือกชีวิตของตัวเอง โดยเธอเล่าว่า "อายส์ใช้เวลา 18 ปีในการแลกกับพ่อว่าแลกกันนะ 18 ปีที่ผ่านมาอายส์ใช้ชีวิตบ้าน โรงเรียนที่เรียนพิเศษให้พ่อแล้ว ดังนั้นอายส์เข้ามหาวิทยาลัย ขอทำในสิ่งที่อยากทำ ซึ่งตอนนั้นเริ่มแคสต์งานแล้ว เราไม่ได้อยากดังหรือมีชื่อเสียงหรืออยากเป็นดารา แค่อยากหาเงิน แต่ไม่อยากทำงานพาร์ตไทม์ พ่อให้อายส์ลองแคสต์ไหม ก็นั่งคุยกับพ่อ ใช้เหตุผลพูดกัน"

แต่ถึงจะทำงานควบเรียน แต่การเรียนของเธอก็ไม่มีตก แถมยังเรียนจบมาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง เอกสื่อสารมวลชน คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

"พอมาทำงานตรงนี้ความคาดหวังในเรื่องเรียนไม่ได้ลดลง แต่ต้องทำให้บาลานซ์กับชีวิต แต่ก่อนตอนเด็กจะโฟกัสว่าต้องได้เกรด 4 แต่พอทำงานรู้แล้วว่าโลกของชีวิตจริงๆ เกรดมันทำอะไรไม่ได้หรอก เป็นแค่ตัวบ่งชี้ว่าคุณตั้งใจเรียนไหม แต่เราจะไม่เอามาทำลายความสัมพันธ์ของเพื่อน เพราะบางคนเป็นเด็กเรียนห่วงเกรดหวงวิชา ทำให้ไม่มีเพื่อนค่ะ"

ตอนนี้ดาราสาวจึงได้ขึ้นชื่อว่าทั้งเรียนเก่งและมีเพื่อนตึม