Inside Dara
'นันดา' กับ 13 ปีบนเวทีนางแบบโลก

หากพูดถึงนางแบบสายเลือดไทยที่มีชื่อเสียงอย่างจริงจังในวงการนางแบบระดับโลกต้องบอกว่ามีอยู่ไม่กี่คน แต่ นันดา ฮัมเปอร์ คือนางแบบลูกเสี้ยวไทย-เยอรมัน ซึ่งคร่ำหวอดในวงการนางแบบโลกมากว่า 13 ปี และเธอออกตัวว่าเธอคือคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่กลับไม่ค่อยมีคนไทยรู้จักเธอ วันนี้เลยขอตามติดไปพูดคุยกับเธอระหว่างที่เธอกำลังไปถ่ายแบบให้นิตยสารน้องใหม่ “โครว แมกกาซีน (Crow)” กันที่เน็ก สตูดิโอ


จุดเริ่มต้นของการเป็นนางแบบ?

“ที่เยอรมนีเขาจะสอนให้เด็กทำงานตั้งแต่อายุ 16-17 ปี นันดาก็ไปทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านขายขนมปัง แล้วพอดีมีบริษัทเอเจนซี่ที่เยอรมนีมาเจอเรา ซึ่งเขาจะหางานให้เอเจนซี่ทั่วโลกเลย ก็จะพยายามหางานที่เข้ากับเราให้ได้ ทั้งที่ฝรั่งเศส อังกฤษ และสเปน แต่สุดท้ายเขาก็หาเอเจนซี่ให้เราได้ที่นิวยอร์ก ตอนนั้นก็ดีใจมาก เพราะว่ายังไม่ค่อยมีคนเอเชีย คนไทย ไปที่นิวยอร์กมาก เขาก็บอกว่าเอเจนซี่ที่นิวยอร์กสนใจนัน ตอนนั้นก็บินไปที่นิวยอร์กทันทีเลย ก็ไปอยู่ที่โน่นเกือบ 13 ปีแล้ว ก็มีบ้านอยู่ที่นิวยอร์ก แต่ว่าไปทำงานทั่วโลกเลย”


คิดว่าอะไรคือจุดเด่นของเราที่ทำให้เขาเลือกเรา?

“หน้าตาเราไม่เหมือนคนอื่น เดายากว่าเชื้อชาติไหน เป็นได้ทั้งคนเอเชีย อเมริกัน เยอรมัน ทำให้คนเห็นอยากรู้ว่าเป็นใคร มาจากไหน ตอนเด็กๆ ทุกคนก็จะบอกว่าทำไมเราหน้าตาแปลกจัง หน้าตาไม่สวย แต่ตอนนี้ก็ดีใจที่ความน่าเกลียดของเราตอนเด็ก ๆ เขาทำให้สวยได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเมคอัพ เรื่องของผม (หัวเราะ)”


เพื่อนร่วมงานล่ะ?

“จริง ๆ ก็เหมือนกับที่นี่ แต่จะบอกว่าเหมือนก็ไม่ได้ เพราะว่างานที่โน่นจะมีการแคสติ้งไว้แล้ว มันจะไม่มีเรื่องเส้นสาย ว่าเป็นพวก ๆ กันแล้วเอาไปเดินแบบไม่ใช่ แต่คือเขาจะบอกว่าอยากได้นางแบบผมทอง สูงประมาณ 175 คือเขาจะมีข้อมูลเบื้องต้นมาให้เราแล้ว แต่อาจจะมีบางทีที่เราบอกว่าคนนี้ดีนะ แต่เอเจนซี่ก็ต้องส่งข้อมูลไปให้ลูกค้าเพื่อให้ลูกค้ารีเควซมา แต่ส่วนมากเขาจะไม่มีเวลามาเลือก เขาจะรีเควซมาเลยมากกว่า”


มีท้อแท้บ้างไหม?

“ก็มีเวลาที่อยู่คนเดียวแล้วเสียใจ เหนื่อย ง่วงนอน กลับมาถึงโรงแรมแล้วร้องไห้ก็มี แต่ตอนนี้เราก็เรียนรู้ว่าเราไม่ได้เหนื่อยคนเดียว เราทำใจได้แล้ว ว่างานทุกอย่างมันไม่ได้มีข้อดีอย่างเดียว มันมีโพสซิทีฟและเนคกาทีฟ ทุกชิ้น เราต้องเป็นโปรเฟสชั่นนอล เขาจ่ายตังค์เราก็เพราะเป็นงานของเรา เราจะไปว่าอะไรไม่ได้ จะไปเปลี่ยนเมคอัพที่เราไม่ชอบไม่ได้ เราต้องเข้าใจว่าไม่ได้จะไปทำรูปสวยของเรา แต่เป็นรูปของแมกกาซีนเขา เขาอยากได้แบบนี้ เมคอัพแบบนี้เราก็ต้องยอมถ้าเราไม่ชอบ ขากลับ 5 โมงเย็น แล้วเราค่อยลบก็ได้ คืองานเราไม่ใช่โมเดล แต่มันคือทีมเวิร์ก ทุกคนต้องทำงานร่วมกัน ถ้าช่างแต่งหน้าไม่เก่ง ช่างผมไม่เก่ง สไตลิสต์ ไม่เก่ง ถ้าช่างภาพจัดไฟไม่เป็น รูปมันก็จะออกมาไม่ดี”


ในเรื่องของการเป็นคนไทย วัฒนธรรมเป็นปัญหาสำหรับการทำงานเราไหม?

“นันดาเป็นลูกเสี้ยวค่ะ คุณพ่อเป็นลูกครึ่งเยอรมัน คุณแม่เป็นคนไทย ทุกอย่างนันดาเป็นไทยหมดเลย คุณพ่อคุณแม่เกิดและโตที่เมืองไทยทั้งสองคน เราก็เหมือนกับคนไทยที่เกิดและเติบโตมาที่เยอรมนี จริง ๆ ในใจนันเป็นคนที่ขี้อายมาก ไม่กล้าพูด แต่เวลาเราทำงานแล้ว เราจะแกร่งมากเลย จะตรงกันข้าม คือนันเป็นคนที่อยู่บนเซตแล้วจะกล้ามากเลย แต่เวลาอยู่บ้าน หรือมาให้สัมภาษณ์จะรู้สึกว่าไม่กล้า คือข้างในเราจะเป็นคนไทยมากเลย แต่ข้างนอกจะเป็นนิวยอร์กมาก”


คำว่าซูเปอร์โมเดลสำหรับนันดาคืออะไร?

“สำหรับนันคิดว่าคนที่ไปนิวยอร์กได้หรือไปนอกได้ ทุกคนลำบากกันหมด ซูเปอร์โมเดล เป็นเหมืือน ซูเปอร์มัม เพราะงานมันหนักมากเลย มันไม่ใช่เรื่องของชื่อเสียง แต่เป็นเรื่องของแรงของเรามากกว่า บางทีเราก็ต้องถ่ายงานกับงู ทั้งที่ไม่เคยจับงูมาก่อน บางทีเราก็ต้องทำอะไรที่ไม่อยากทำ อย่างนันสมัยก่อนนันกลัวน้ำมาก แล้วก็ต้องลงไปถ่ายรูปใต้น้ำ”


การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า?

“จริง ๆ ปัญหาเฉพาะหน้าที่นั่นจะไม่ค่อยมี เพราะว่าจะมีการเซตไว้แล้ว แต่นันเป็นคนตัวเล็กมากเลย เสื้อผ้าก็จะใหญ่เกินไป แต่คือก็ทำให้เล็กได้ ซึ่งถ้างานไหนเลือกนันแล้ว เขาจะรู้ว่านันตัวเล็กกว่าคนอื่น แต่ทุกครั้งที่มีลูกค้าใหม่เราก็จะกลัวตลอดว่าเขาจะคิดว่าทำไมไม่บอกว่าตัวเล็ก”


การเป็นนางแบบต้องทำให้เราอัพเดทเรื่องแฟชั่นมากแค่ไหน?

“เราก็ต้องรับรู้ว่าแฟชั่นตอนนี้เป็นยังไง ใครเป็นช่างภาพที่ดัง ใครเป็นสไตลิสต์ที่ดัง แมกกาซีนเล่มไหนถ่ายแบบไหน ช่างภาพแต่ละคนมีสไตล์ของเขาเอง เราก็ต้องทราบด้วย ไม่งั้นเวลาเราคุยแล้วเราไม่รู้เรื่อง เราก็จะเข้ากับเขาไม่ได้ ถ้าเราอยากอยู่ในระดับท็อป เราก็ต้องรู้ทุกอย่าง อย่างเอเจนซี่ของนันจะสอนว่า ถ้าเราอยากได้งานล้านเหรียญ เราก็ต้องทำตัวทำหน้าตาให้ได้ล้านเหรียญเหมือนกัน ถ้าเราอยากได้มาก เราก็ต้องให้เขามาก”


ทำงานในวงการนางแบบมา 13 ปี ทำให้ทุกวันนี้การรับงานเราเปลี่ยนไปไหม?

“เปลี่ยนค่ะ เพราะตอนนี้นันเริ่มอายุมากขึ้น 31 ปีแล้ว ก็อยากจะอยู่บ้านบ้าง เพราะเราทำงานมา 13 ปี ไปทั้งออสเตรเลีย ไปฮ่องกง ไปอังกฤษ ไป ๆ มา ๆ ทุกวัน แล้วเราก็มีครอบครัวไม่ได้ คือตอนนี้นันกำลังจะแต่งงาน เดือน ก.ค. ที่จะถึงค่ะ ก็แพลนว่าจะอยู่บ้านมากขึ้น จะเริ่มเลือกงานมากขึ้น ถ้ามีงานที่เป็นคอนเซปต์ที่เราชอบ เป็นงานที่ดีเราก็จะรับ ไม่งั้นเราก็คงจะลำบากถ้าอยู่เมืองใดเมืองหนึ่งไม่ได้”


แสดงว่ามีแพลนจะกลับมาอยู่เมืองไทย?

“อยากเหมือนกันค่ะ นันกำลังขอแฟนให้มาอยู่ในเอเชีย ในฮ่องกง หรือเมืองไทย สัก 1-2 ปี เพราะนันอยากอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ด้วย ท่านก็เริ่มจะแก่แล้ว ก็กำลังคิดอยู่ว่าจะมาอยู่ได้ไหม เพราะเราไปอยู่ระหว่างอิตาลีและนิวยอร์กมา 13 ปี ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมาอยู่ที่นี่”


แฟนนันดาเข้าใจงานนางแบบที่เราทำไหม?

“ก็เข้าใจค่ะ เห็นใจเขาเหมือนกัน เขาคงสงสัยว่าวันนี้เราไปไหน วันนี้ไปอิตาลี พรุ่งนี้ทำไมต้องไปลอสแอนเจลิส คือเขาทำงานที่นิวยอร์กทุกวัน แต่เขาก็ซับพอร์ตนันอย่างมากเลย นันก็รู้สึกดีที่มีแฟนอยู่ที่บ้าน กลับบ้านแล้วมีคนรออยู่ รอทานอาหารด้วยกัน เพราะถ้าเดินทางด้วยกันทั้งคู่คงอยู่ด้วยกันยาก เพราะคงคลาดกันไปคลาดกันมา เดือน ก.ค. ที่จะถึงนี้ก็จะไปแต่งงานที่อิตาลี เพราะเขาเป็นคนอิตาลี เอาพิธีไทยไปแต่งที่โน่น”


ความรู้สึกกับการได้กลับมาทำงานที่เมืองไทย?

“ความรู้สึกของการมาทำงานที่นี่เมื่อ 10 ปีที่แล้วกับตอนนี้ก็ต่างกันเยอะเลย ที่นี่อาจจะดีกว่าที่โน่นด้วยซ้ำไป ช่างภาพ ช่างไฟ สไตลิสต์เมคอัพ ทุกคนเก่งมากเลย”


คิดไหมว่าอนาคตถ้าเราไม่ได้ทำนางแบบแล้วจะทำอะไร?

“นันชอบคำนวณมาก อยากทำอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับคำนวณ ที่ต้องคิดเลข นันชอบทำภาษี ตอนนี้นันก็ช่วยพวกนางแบบที่นิวยอร์กทำเรื่องภาษี คือนันเข้าใจวงการโมเดลลิ่งไง นันทำมาตลอดแล้ว ก็จะบอกเขาได้ว่าตรงนี้ต้องจ่ายภาษี ตรงนี้จะช่วยลดหย่อนได้ ก็อยากทำภาษีให้พวกน้อง ๆ ที่เพิ่งเริ่มเข้าไปว่าทำยังไง คือจริง ๆ นันอยากเป็นที่ปรึกษาด้านการเงินให้นางแบบด้วย เพราะสมมุติว่านางแบบวันนี้ทำเงินได้ 1 ล้าน พรุ่งนี้อาจจะไม่ได้เงินเลย เราก็ต้องเรียนรู้ว่าเราจะต้องประหยัดยังไง จะใช้เงินยังไงอีก 10-20 ปี”


มองวงการนางแบบทุกวันนี้ยังไงบ้าง?

“สมัยนี้เรามั่นใจในวงการนี้ เพราะดีกว่าเมื่อก่อนมาก สำหรับคนที่จะเข้ามาในวงการก็อยากจะแนะนำว่าให้เป็นตัวของตัวเอง คือปรับตัวได้แต่อย่าเปลี่ยนตัวเอง อย่าลืมว่าตัวเองเป็นยังไง อย่าคิดว่าเราเก่งกว่าที่เราเป็น อย่าคิดว่าด้อยกว่าที่เราเป็น เราต้องรู้จักประมาณตัวเองถึงจะอยู่วงการนี้ได้นานค่ะ”

พอคุยมาถึงตรงนี้เราไม่รู้สึกแปลกใจว่าทำไม “นันดา” ถึงยืนหยัดอยู่ในวงการนางแบบระดับโลกมาได้นานถึง 13 ปี นั่นเพราะความเป็นมืออาชีพและความสามารถของเธอล้วน

“หนูเป็นนักแสดงที่ห่วยที่สุด” ซี-หทัยภัทร

กระโดดชิมลางงานละครเรื่องแรก “ลิขิตฟ้าชะตาดิน” ในฐานะนักแสดงน้องใหม่จากค่ายเอ็กแซ็กท์ "ซี-หทัยภัทร สมรรถวิทยาเวช” สาวเอวบางร่างน้อยที่มีรอยยิ้มสดใส ร่าเริง ซึ่งแจ้งเกิดจากงานในแวดวงโฆษณา วันนี้เธอเปิดใจกับ M-openถึงกระแสวิจารณ์ว่าเล่นแข็งบ้าง เล่นไม่ดี ยังไม่เต็มที่กับบทบาท “ทราย” คุณหนูแจ๋นแหล๋น เจ้าอารมณ์ พร้อมทั้งเผยถึงประสบการณ์กดดันสุดๆ ในชีวิตกับงานละคร และพัฒนาตัวเองมาตลอดเพื่อลบคำปรามาศว่า “เธอเป็นคนที่ห่วยที่สุดในคลาสแอ็กติ้ง”

เข้าวงการฯ แบบไม่บังเอิญ

ดารา นางแบบส่วนใหญ่จะเข้าวงการบันเทิงเพราะโมเดลลิ่ง หรือเจอแมวมองด้วยความบังเอิญ แต่สำหรับสาวซี เธอเล่าถึงช่วงเวลาที่มีความฝันว่าอยากเป็นนางแบบ มีหน้าตัวเองอยู่บนนิตยสารวัยรุ่นบ้าง จึงตัดสินใจไปเดินย่านสยาม และคิดแบบเด็กๆ ว่าวันหนึ่งจะมีแมวมองเข้ามาชวนให้วงการฯ และความฝันก็เธอก็เป็นจริงเสียด้วย

“มีช่วงหนึ่ง ช่วงปิดเทอม เราไม่มีอะไรทำ เห็นเพื่อนเอาแมกกาซีนมาเปิด เราเห็นก็อยากถ่ายแบบบ้าง ก็ไปเดินสยามเลย (หัวเราะ) เพราะช่วงนั้นแมวมองอยู่สยามหมด ก็ไปเดินสยาม ตอนนั้นเราก็เด็กๆ อยู่ มีโมเดลลิ่งมาก็ดีใจ เขาก็ติดต่อให้ไปแคสฯ โฆษณา พี่ๆ ก็สนับสนุน ยังไม่ได้บอกพ่อแม่ ขอพ่อแม่ไปค้างคอนโคพี่ แล้ววันรุ่งขึ้นก็ตรงดิ่งไปแคสฯ เลย ตอนนั้นไม่รู้อะไรเลย แต่งหน้า แต่งตัวจัดเต็มไปเลย ไปถึงมีช่างแต่งหน้าให้ เขาต้องมาลบหน้าเราออก

ครั้งแรกที่ไปแคสฯ ตื่นเต้นมาก ทำมั่วไปหมดเลย แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไรหรอก ครั้งแรกคงไม่ได้หรอก คิดซะว่าไม่ได้ แต่อยู่ดีๆ เขาโทรมาว่าเราได้ 3 คนสุดท้าย ตอนนั้นบ้านแตก ดีใจมาก สุดท้ายก็ได้งาน หลังจากนั้นก็มีงานโฆษณามาตลอด ปีหนึ่งประมาณ 10 ตัว

ซีเข้ามาเล่นละครของเอ็กแซ็กท์ ก็มาจากโฆษณาวีต้าพรุน เขาก็เรียกให้เราเข้ามาแคสฯ ละคร ให้บทมา 3 บท มีบทร้องไห้ แจ๋นแหล๋น เสียใจ เศร้าโศก นางเอกมาก ครั้งแรกที่ได้บทมา...เอ๋อมาก ทำอะไรไม่เป็นเลย ซียอมรับเลยว่าเป็นคนที่ไม่มีหัวศิลปะเลย เป็นคนแข็งมาก ครอบครัวเป็นหมอ วิชาการมาก ไม่เคยจะนั่งวาดรูป ไม่เคยทำอะไรที่เกี่ยวกับศิลปะ พอมาแอ็กติ้งครั้งแรก ทำไม่ได้เลย แต่ก็พยายาม ร้องไห้ไม่ได้ก็ทำเสียงเหมือนจะร้อง ก็ไม่รู้ยังไงเราถึงติดเข้ามา แต่ก็โดนเรียนแอ็กติ้งอยู่ประมาณเกือบปีน่ะค่ะ"

กดดันกับการแสดง

การได้เข้ามาเป็นนักแสดงโดยที่ตัวเองยังไม่มีประสบการณ์มากนัก ก็เป็นช่วงเวลาที่ลำบาก ทั้งเรียนไปด้วย เรียนการแสดงไปด้วยอยู่จนเกือบปี แต่ก็ยังซึมซับได้ไม่เต็มที่กับที่หลายคนคาดหวัง

“ซีเป็นคนเดียวที่แอ็กติ้งห่วยที่สุดในห้อง” สาวซียอมรับอย่างตรงไปตรงมา พร้อมทั้งเล่าถึงประสบการณ์ที่ทั้งกดดันสุดๆ แต่ก็ต้องทำให้ผ่านไปให้ได้ “ยอมรับว่าซีเริ่มจากศูนย์ ไม่มีพรสวรรค์ทางนี้เลย เราใช้พรแสวง ตอนแรกให้ทำอะไรก็ทำไม่ได้ เขาให้ทำอะไรเราก็ทำไม่สุด กลัวไปหมด มีกำแพงเยอะ เราก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน เรียนมาถึง 6-7 เดือนก็ยังไม่ได้ ท้อมาก ครูสอนแอ็กติ้งก็ต่อว่า กดดันให้เราทำให้ได้ จนถึงจุดหนึ่งที่เรามาคิดว่าเราทำอย่างนี้ทำไม ถึงบ้านร้องไห้คุยกับพ่อแม่เลยว่าเราไม่เข้าใจว่ามาอยู่ทำไม ทำไม่ได้เลย ครูก็ว่า อายเพื่อน เพื่อนไปถึงไหนแล้ว แต่ตัวเองทำไม่ได้

จนมาถึงละคร ลิขิตฟ้าชะตาดิน ละครเรื่องนี้ เหมือนถึงเวลาให้เราลงสนามแล้ว เพราะเรียนมาเยอะมาก ผู้ใหญ่ก็คิดว่าเราควรจะได้ลงแล้ว บวกกับคาแร็กเตอร์ในเรื่องนี้ด้วย ที่เป็นสาวคุณหนู เอาแต่ใจหน่อย เป็นคนที่คิดอะไรแล้วก็พูด คือหลายคนคิดว่าคาแรกเตอร์มันใกล้กับตัวซี แต่จริงๆ มันไม่ใกล้ตัวซีเลย ซีเป็นคนนิ่งๆ เป็นคนที่ไม่ได้คิดอะไรแล้วพูดตรง พอเพื่อนดูวันแรก เพื่อนบอกขำมาก เพราะมันไม่ใช่ซีเลย ในเรื่องจะแว้ดๆ มาก เล่นหู เล่นตา เล่นหน้าเยอะมาก”

เพราะคำว่ากลัว คำเดียวที่เป็นตัวขัดขวาง และกลายเป็นกำแพงที่ทำให้เธอแสดงออกได้ไม่เต็มที่กับความสามารถ

“กลัวบทที่ใช้อารมณ์ มีฉากหนึ่งมันเขียนในบทเลยว่า ร้องไห้หนัก แล้วเราจะไปโฟกัสกับคำว่า ร้องไห้หนัก ก็ร้องไห้ไม่ได้ เพราะเราไปกลัวว่าจะร้องไห้ได้ไหม แต่มีบทหนึ่งที่ไม่เขียนคำว่าร้องไห้ แต่กลับน้ำตาคลอจะร้องไห้ เพราะมันไม่มีคำว่าร้องไห้หนัก

วันแรกที่เราไปเล่น เรารู้อยู่แล้วว่าเราเล่นไม่ได้ วันแรกผู้ใหญ่โทรหาแอ็กติ้งโค้ชเลยค่ะ ว่าต้องตามซีมาที่กองถ่ายทุกครั้ง และต้องมาซ้อมตัวต่อตัว เราได้ยิน เราก็คิดว่า เอ้ย! จริงเหรอ เรารู้ตัวว่าเราแย่ แต่คุณครูเขาก็ยุ่งมาก เขาต้องสอนให้ใครหลายคน สอนนางเอก สอนทุกคน เราก็กลัวเสียเวลาเขาที่มาสอนเรา เราไม่ใช่ตัวเด่นอะไร รู้สึกผิดมาก

จนคุณครูเรียกมาคุยเลยว่าทำไม มันเป็นยังไง ทำไมถึงทำไม่ได้ ตั้งแต่เรียนแอ็กติ้งมาแล้ว เรียกว่าคุยเปิดใจน่ะค่ะ พอได้คุยเปิดใจปุ๊บ เราก็กลับบ้านไปคิดใหม่ทุกอย่าง แค่คิดว่าต้องทำให้ดีที่สุดทุกอย่าง หลังจากนั้นซีก็เปลี่ยนทัศนคติ กำแพงเริ่มหายไป คำเดียวที่ซีทำไม่ได้คือคำว่ากลัว กลัวจะเสียเวลาคนอื่น กลัวช่างไฟจะรอ กลัวเล่นกับพี่ตู่ กลัวว่าเล่นผิดแล้วเขาจะรอเรา กลัวบล็อกกิ้งผิด กลัวจำบทไม่ได้ คุณครูก็บอกว่ากลัวไปก็ตายเลยสิ ทำอะไรไม่ได้ ทำไมไม่เอาคำว่ากล้ามาใส่ล่ะ เขาก็บอกว่าความกลัวเหมือนโดดบันจี้จั๊ม กลัวว่าจะโดดลงไปตาย แต่พอโดดลงไปแล้วมันก็ไม่ตาย ยังไงมันก็ไม่ตายหรอกถ้าเรากล้าซะอย่าง

คราวนี้พอเรามาเล่น เราตัดทุกอย่าง บทช่างมัน เราแค่อยู่กับตัวเอง แล้วเข้าไปเล่น เราก็ได้ เล่นได้ดีขึ้นน่ะค่ะ เพราะว่ามีพี่ ๆหลายคน แนะนำ แล้วก็ได้ลงประสบการณ์จริง รู้สึกว่าอยากทำให้ได้ดีขึ้น”

จนมาตอนนี้ดีใจมากที่เราพัฒนาขึ้นได้ หลังจากที่เราได้คุยกับคุณครูเขาก็ให้การบ้านมาทำ แล้วก็มาเล่นที่ห้อง คือทุกครั้งที่เล่น ซีรู้เลยว่าได้ฟีดแบ็กยังไง แต่มีครั้งหนึ่งที่ เล่นแล้ว คุณครูพูดว่าไม่น่าเชื่อว่าซีทำได้ โอโห! น้ำตาจะตกเลยค่ะ เป็นอะไรที่รอมานานมาก ตอนนี้ก็มั่นใจขึ้นมาก ภูมิใจทุกครั้งที่เขาพูดชม

ถ้าเป็นแต่ก่อนยอมรับว่าไม่สนุกเพราะเราทำไม่ได้ ท้อมากจริงๆ รู้สึกว่าเราแข็งมาก บอกพ่อแม่เลยว่าจะไม่ทำแล้ว ร้องไห้ อยากยกเลิกสัญญาเลย แต่คุณครูทำให้เรากลับมา คุยเปิดใจ ดึงให้เรากลับบมา แต่พอเริ่มทำได้ ก็เริ่มรู้สึกสนุก ท้าทาย ”

สาวอินเตอร์ฯ

บุคลิกมั่นใจมั่นใจ ช่างพูดช่างคุย กล้าแสดงออกแบบนี้ เธอเล่าว่าเป็นเพราะเรียนโรงเรียนอินเตอร์ฯ มาตลอด เพราะที่บ้านเห็นความสำคัญของเรื่องภาษา และการเรียนโรงเรียนนานาชาติก็สอนให้เธอเป็นคนกล้าแสดงออก และคิดนอกกรอบ

“ซีเรียนโรงเรียนอินเตอร์ตั้งแต่อนุบาล 3 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่โรงเรียนอินเตอร์เปิดใหม่ด้วย และเป็นช่วงบูม พ่อแม่สมัยนั้นก็พยายามส่งเสียลูกให้เรียนโรงเรียนดีๆ และภาษาอังกฤษก็สำคัญ สิ่งที่เราสัมผัสได้ก็คือคุณครูเป็นชาวต่างชาติหมดเลย เวลาที่เราทำอะไร คนต่างชาติเขาจะให้เราคิดนอกกรอบ แต่คนไทยจะสอนให้เป็นระเบียบ ที่ซีเรียนจะเน้นเรื่องการอยู่เป็นทีมเวิร์ก การทำงานต้องให้ความสำคัญ แต่พี่สาวเคยอยู่โรงเรียนไทย เวลาเรียนเขาก็ให้เรียนอย่างเดียว คือเราได้ทั้งภาษา ได้ทั้งการเปิดโลกทรรศน์ Thing out of the box.”

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สาวน้อยขี้อาย ติดเพื่อน กลายเป็นกล้าแสดงออก และทำอะไรด้วยตัวเองได้มากขึ้น คือการที่เธอเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ตอนอยู่ ม.5 ไปเรียนที่อเมริกาอยู่ 1 ปี

“ตอนนั้นอายุ 16 พอไปถึงปุ๊บ เจอรุ่นเดียวกัน เขาดูโตมาก ทำอะไรได้ แต่ซีดูเหมือนทำอะไรไม่ได้ จนซีต้องไปคบกับรุ่นที่เด็กกว่า แต่ก็สนุกมาก ได้ทำอะไรหลายอย่างที่เราไม่เคยทำ อย่างเช่น ได้เล่นซอฟบอล เราไม่เคยรู้ว่าซอฟบอลคืออะไร แต่รู้ว่าอยากเล่นกีฬา ก็หากีฬา ตอนนั้นมีประกาศว่ารับสมัครทีมซอฟบอล เราก็ฟัง อ๋อ..ซอฟบอล ก็คิดว่าเป็นฟุตบอลที่แบบผู้หญิงๆ เล่นกัน ก็หาใบสมัคร พอไปถึงทีม โอ้โห! ทุกคนตัวใหญ่มาก เขาก็รับเรานะ แต่ให้ซีไปอยู่รุ่นเด็ก ม. 1-2

การที่ซีได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน มันทำให้ซีได้ประสบการณ์เยอะมากๆ เรียนรู้เรื่องการเอาตัวรอด เรียนรู้การตัดสินใจเอง ต้องทำทุกอย่างเอง กวาดบ้าน รีดผ้า ล้างจาน เก็บห้อง ไม่มีใครมาช่วย แต่ก่อนตอนอยู่ที่โรงเรียน เวลาเข้าห้องน้ำก็ต้องไปเป็นกลุ่ม ติดเพื่อนมาก ต้องรอเพื่อนไปกันเป้นแก็ง แต่พอกลับมาเรารู้สึกว่าเราอยู่ตัวคนเดียวได้เยอะขึ้น ไม่ต้องรอเพื่อน ไปทำอะไรเองได้” ด้วยความที่มีคุณหมอเป็นหมอ เธอจึงให้ความสำคัญกับเรื่องการเรียนมาก และอยากให้ได้ดีจนบางครั้งก็กลายเป็นความเครียด และกดดันตัวเองแบบไม่รู้ตัว

“ซีเป็นคนที่แบบเครียด เป็นคนจริงจังกับทุกอย่าง เครียดกับทุกอย่าง คุณพ่อคุณแม่ก็จะบอกว่าเวลาเจอปัญหาอะไร อย่าไปจมปลักกับมันมาก เพราะปัญหาทุกอย่างมีทางออก แล้วซีก็ว่าทุกอย่างมันมีทางออกจริงๆ นะคะ

ปัญหาของซีก็เรื่องเรียนด้วย และตอนนี้ก็มีเรื่องงานด้วย ตารางงานจะชนกับเรื่องเรียนบ่อยมาก เราก็ต้องเครียดมาก ที่จะแก้ปัญหาทั้งสองฝ่าย เรื่องเกรดตกก็เครียด ซีเป้นคนวางเป้าเอาไว้สูงมาก เพราะเราอยู่กลุ่มเพื่อนที่เป็นเด็กเรียนระดับหนึ่ง ซีก็จะวางเป้าว่าเราต้องเรียนให้ได้เท่าเพื่อน เรียนให้ทัน ไม่ให้ล่าช้า เกรดก็ต้องดีเหมือนกัน

ซียอมรับว่าซีเป็นคนไม่ฉลาดแบบไบร์ท เป็นคนที่ถ้าเข้าห้องสอบแล้วไม่อ่านหนังสือจะทำไม่ได้ แต่ถ้าอ่านหนังสือจะทำได้เลย ต้องขยัน คุณพ่อเป็นหมอ เป็นกุมารแพทย์ แต่ก่อนทำอยู่โรงพยาบาลศิริราช ตอนนี้ออกมาเปิดคลีนิกของตัวเอง แต่คุณพ่อบอกว่าเรียนอะไรก็เรียนไปเถอะ ขอให้อย่าเครียด เรียนอะไรก็ได้ให้สนุกไปกับมัน เขาไม่อยากให้เหมือนเขาที่เรียนหมอจะเครียดตลอด

ซีก็เลยเลือกเรียน สาขาวิชาการจัดการการท่องเที่ยว และการโรงแรม คณะบริหารธุรกิจ มหิดลอินเตอร์ ตอนนี้อยู่ ปี 3 ที่เลือกเรียนการโรงแรมเพราะว่าเขาจะสอนให้เรามีเซอร์วิสมายด์ ซีมองว่าการที่เราจะอยู่ในสังคม การทำธุรกิจมันต้องมีเซอร์วิสมายด์รวมอยู่ด้วย ซีจะไม่ชอบวิชาเลข ซีชอบเรียนอะไรที่ใช้ได้จริง ไม่ต้องมานั่งจำทฤษฎี การสอนให้เราคิดผลิตภัณฑ์แล้วมาคิดว่าจะทำการตลาดอย่างไร มันสนุก”

ฉายา “อาม่าไฮเทค”

โตมาเป็นคุณหนูสวยมั่นแบบนี้ แทบไม่น่าเชื่อว่าตอนเด็กเธอจะมีวีรกรรมเยอะมาก เป็นเด็กขี้อายมาก แต่ก็ชอบแกล้งเพื่อนสุดๆ และด้วยบุคลิกแบบเด็กเรียน ใส่เกล็กดัดฟัน เกล้าผมตึง เดินหลังค่อม แต่ชอบมีของใหม่ๆ เธอจึงถูกเพื่อนตั้งฉายาให้ว่า “อาม่าไฮเทค” ซึ่งเธอก็ไม่ได้ชอบกับฉายานี้เท่าไหร่นัก

“ตอนมัธยมจะถูกล้อเยอะมาก เรียกซีว่าอาม่าไฮเทค เขาหาว่าซีแก่หน้าเหมือนอาม่า แต่ก่อนซีหน้าเกลียดมา ดัดฟัน ตัวเล็ก ผอมมาก เดินหลังค่อมด้วย ก็เลยดูเหมือนอาม่า ส่วนไฮเทคก็น่าจะมากจากเรามีโทรศัพท์มือถือ มีอะไรใหม่ๆ แน่เลย

แต่ก่อนเป็นอะไรไม่รู้ปล่อยผมแล้วจะร้องไห้ ต้องเกล้าผมตึง เพื่อนจะชอบแกล้ง ดึงผมออก จะโมโห ร้องไห้ หน้าจะเล็กกว่านี้อีก หนัก 30 กว่าเอง ตัวดำด้วย กลับจากอเมริกา เล่นซอฟบอล ตัวดำ กระขึ้น นานมากกว่าจะขาว เป็นปี ต้องขอบคุณวิวัฒนาการการดัดฟัน พอดัดฟันแล้วฟันแล้ว ยิ้มแล้วดูดีขึ้น โตมาอ้วนขึ้นด้วย ก็เลยพอดี”

บุคลิกภายนอกดูตัวเล็กๆ บอบบางน่าแกล้ง แต่จริงๆ แล้วเป็นเธอมากกว่าที่เป็นฝ่ายชอบแกล้งเพื่อน แถมแต่ละวีรกรรมที่เธอเล่าก็ค่อนข้างเล่นแรงใช่ย่อย

“ตอนเด็กจะมีสมัยหนึ่งที่ฮิตเปิดกระโปรง ซีก็ชอบแกล้งเปิดกระโปรงเพื่อน มีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อนเรียกแม่มาเลยค่ะ แต่เขาก็เปิดกระโปรงซีเหมือนกันนะ ซีก็เอาคืน ซีจะมีวีรกรรมแกล้งเพื่อนเยอะมาก มีครั้งหนึ่งเพื่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ ซีก็ให้เพื่อนอีกคนไปแอบเอาเสื้อผ้าเขาออกมาไปแขวนไว้ข้างหน้าล็อกเกอร์ แล้วเขาก็ไม่มีเสื้อผ้าใส่กลับ อีกครั้งหนึ่งก็ไปกินข้าวที่โรงอาหารเราก็เทเกลือแก้วเพื่อน แล้วคนๆ ให้กิน ซีแกล้งแต่เพื่อนสนิทก็ไม่โกรธกันเท่าไหร่ ขำๆ มากกว่า”

แข็งแรงเพราะฟิตเนส

ถึงแม้เธอจะมีคุณพ่อเป็นคุณหมอ แต่ท่านก็ท่านก็ไม่ใช่คนซีเรียสว่าจะต้องหาอะไรมาเสริม หรือบำรุงให้ลูกสาว แต่จะให้ความสนใจกับการเลือกของกิน เน้นให้กินอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายมากกว่า

“คุณพ่อชอบออกกำลังกายมาก ที่บ้านจะมีห้องฟิตเนส ต้องกลับมาเล่นฟิตเนสทุกวัน เวลาเราขี้เกียจออกกำลังกายคุณพ่อจะชอบยกตัวอย่างคนไข้ให้ฟังว่า ดูสิ วันนี้มีคนแก่มา ปวดโน่น ปวดนี่ เขาไม่ชอบออกกำลังกาย คือคุณพ่อจะชอบยกตัวอย่างคนไข้มาให้เราคิด

วิธีออกกำลังกายของซีก็จะเข้าฟิตเนสที่บ้าน ซีเป็นคนชอบกินผักเยอะมาก เวลาไปหอเพื่อน ก็จะถามเพื่อนว่าทำไมห้องนี้ไม่มีผลไม้เลย เพื่อนก็บอกจะบ้าหรือเปล่า อยู่หอใครเขามีผลไม้ ซีเป็นตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนเรียนมัธยม หลังโรงเรียนจะมีของกิน แล้วทุกคนไปซื้อ โตเกียว ไก่ทอด เฟรนฟราย แต่ซีจะไปร้านกล้วยปิ้ง มันปิ้ง ผลไม้ คนถึงเรียนซีว่าอาม่า ซีไม่กินขนมเลย เพื่อนจะบอกว่าซีชอบกินของคนแก่ ซีจะชอบกินถั่วต้ม กล้วยปิ้ง ข้าวโพดปิ้ง กินแต่อย่างนี้”

'หลุยส์-จอนนี่'คู่ซี้ในวันวานผ่านถึงวันนี้

หากกล่าวถึงนักร้องคู่ดูโอ ที่เป็นตำนาน เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึง "แร็พเตอร์" ที่มีนักร้องอย่าง หลุยส์ สกอตต์ และ จอนนี่ อันวา เป็นสองคู่ซี้ปึ้ก ที่มีความผูกพันกับบันเทิงไทยมายาวนานถึง 18 ปี ล่าสุดทั้งคู่จะกลับมาจัดคอนเสิร์ตร่วมกันอีกครั้ง เป็นคอนเสิร์ตที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งไหนๆ ที่เคยมีมา


คอนเสิร์ตอีกครั้ง

มีอะไรพิเศษจากคอนเสิร์ต "แร็พเตอร์ รีเทิร์น" คราวที่แล้วบ้าง

จอนนี่ : มีแน่นอน คอนเสิร์ตใหญ่ขึ้นมาก ต้องเพิ่มแสง สี เสียงให้มากขึ้น และต้องให้มันคลุมพื้นที่ มีจัดตำแหน่งต่างๆ ให้มีมิติขึ้น ซึ่งไม่ได้ยกคอนเสิร์ตครั้งเก่ามาเล่นใหม่ในที่ใหญ่ขึ้น แต่สร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด และให้พัฒนาขึ้นจากเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เพราะเมื่อก่อนเวลาจะเล่นทัวร์ เราจะไปเล่นแบบเดิมๆ กี่รอบก็ยกเวทีเก่าไปเล่าใหม่ แต่ตอนนี้เรามีเวลาแค่ 4 เดือน และต้องเตรียมโชว์ที่แตกต่าง คนละไซส์กันเลย ต้องสร้างสรรค์ให้มีอะไรที่แปลกใหม่ และสนุกมากขึ้น

กดดันไหม เพราะคอนเสิร์ตคราวที่แล้วกระแสตอบรับดีมาก

หลุยส์ : ผมว่าการคาดหวังมีตลอด ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตเล็ก หรือใหญ่ การที่ศิลปินจะขึ้นเวที ล้วนแล้วแต่คาดหวังว่าจะให้มีคนมาดูเยอะๆ อยากให้บัตรขายหมด เราจึงพยายามที่จะทำให้มันแตกต่างและสามารถตอบโจทย์ที่คนดูได้คอมเมนท์ไว้ ให้ครอบคลุมทั้งหมด

มีอะไรเซอร์ไพรส์แฟนเพลงไหม

หลุยส์ : ความจริงเรื่องเซอร์ไพรส์ ทุกคอนเสิร์ตมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแขกรับเชิญ ที่จะมาช่วยกันร้อง หรือมาช่วยแบ่งเบาภาระเรา (หัวเราะ) ต้องมีความแตกต่างไป แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ เพราะยังไม่รู้เลย (หัวเราะ) ขอให้เป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ไปดีกว่า รอลุ้นกันหน้างาน แต่ผมว่าเรื่องเซอร์ไพรส์ จริงๆ เป็นเรื่องของแสงสีเสียง คอนเซ็ปต์บนเวทีมากกว่า ที่จะทำให้มีความแตกต่างและแปลกใหม่ ประกอบกับทางอาร์เอสเองที่พยายามจะคิดค้น เทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้อยู่แล้ว เหมือนอย่างครั้งที่แล้ว ที่มีแสงมีไฟอยู่ในตัว ออกมาจากเพลง "เกรงใจ" ตอนนี้ต้องเหนื่อยหน่อย เพราะคราวที่แล้วทำไว้ดีอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ต้องให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งขอให้โชคดีทุกคนนะทีมงาน (หัวเราะ) คือจัดเต็มยิ่งกว่าเดิมแน่นอน


ตื่นเต้นกว่าครั้งที่แล้วไหม

หลุยส์ : ตอนนี้ยังไม่ได้รู้สึกเต็มที่ คงเป็นเพราะยังไม่ได้ไปถึงตัวคอนเสิร์ตจริงๆ แต่ตื่นเต้นที่ได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ในปี 2012 กับคอนเสิร์ตที่ใหญ่ จึงรู้สึกดี

จอนนี่ : นึกถึงภาพที่ติดตาจากคอนเสิร์ตที่ผ่านมา ได้เห็นหน้าตาแฟนเพลงที่คอยส่งเสียงเชียร์ และสนุกไปกับเรา ถ้าคอนเสิร์ตครั้งนี้ ไม่ได้ความรู้สึกแบบนั้น คงรู้สึกผิดหวัง ต้องทำให้ได้ ให้เขาสนุกกับเราอีกให้ได้

ได้มาร่วมงานกันอีกครั้งรู้สึกอย่างไรบ้าง

จอนนี่ : ความรู้สึกเหมือนค้างจากคราวที่แล้วอยู่ คราวที่แล้วยังเหมือนเพื่อนห่างไกลไม่ได้ทำงานด้วยกัน พอกลับมาทำงานด้วยกันจึงสนุก แต่ครั้งนี้จะสนุกยิ่งกว่า

หลุยส์ : คือไม่ต้องจูนอะไรกัน พอเห็นหน้าปุ๊บ ความรู้สึกตั้งแต่เด็กๆ กลับมาหมดเลย เป็นความผูกพัน ซึ่งก่อนหน้าที่จะมาทำคอนเสิร์ตเราต่างคนต่างไปทำงาน ติดต่อกันน้อยมาก เพราะผมไปสายละคร ส่วนจอนนี่ไปทางสายเพลงโดยตรง ทำให้ไม่ได้คุยกัน แต่ตอนนี้กลับมาคุยกันมากขึ้น


เพื่อนเม้าท์เพื่อน

ประทับใจอะไรในตัวเพื่อนบ้าง

จอนนี่ : หลุยส์เป็นเพื่อนที่ดีตั้งแต่เด็ก รักเพื่อนคนนี้มาก เราโตขึ้นมาด้วยกัน บางทีไม่ต้องพูดอะไรกันมาก ก็สามารถเข้าใจกันได้ และเห็นเขามาถึงจุดนี้ คือเป็นพระเอก ซึ่งจริงๆ เราไม่ได้เห็นความแตกต่างในตัวเขาเท่าไหร่ เพราะเราเห็นความสามารถของเขาตั้งแต่เด็กๆ แต่ตอนนี้รู้สึกดีใจที่คนอื่นทั้งประเทศได้ดูละคร และยอมรับตัวเขาในวันนี้ เพราะว่าเขาเก่งจริงๆ ซึ่งภูมิใจในตัวเขา

หลุยส์ : ประทับใจที่สุดคงเป็นเรื่องความมั่นใจ ความเชื่อมั่นในตัวเขา คือเขาเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีอะไรสามารถมาเปลี่ยนตัวเขาไปได้ เวลาเขาตัดสินใจจะทำอะไร ก็จะไปตามทางของเขาและทำจริง ไม่วอกแวก เป็นอะไรที่ทำให้เรา อยากจะเป็นเหมือนเขา คือทำอะไรไม่วอกแวก เขาเหมือนเป็นพี่ที่ดี เราพยายามจะตามเขา เอาไอเดียของเขามาใช้ ในความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งเวลาที่เขาตัดสินใจอะไรไปแล้ว แม้จะพลาดก็ยอมรับในการตัดสินใจ ประทับใจตรงนี้มาก


ตัวตนคนแบบสองหนุ่มแร็พเตอร์

คิดว่าอะไรที่ทำให้แฟนเพลงยังคงชื่นชอบอยู่ทุกวันนี้

จอนนี่ : คงเป็นตรงที่เราไม่ได้ติดกรอบ คือถ้าเทียบกันกับศิลปินแนวนี้ จะต้องมีกรอบ มีไอเดีย แต่ของเราไม่ได้ติดตรงนี้ ชอบทำอะไรนอกกรอบ คืออยากทำอะไรทำ คือเรามีคาแร็กเตอร์ที่ต่างกัน พอจับมาชนกัน มันเลยทำให้เป็นอะไรที่สร้างความบันเทิงให้คนดูได้ หรือบางทีก็เละไปเลย (หัวเราะ)

หลุยส์ : ผมว่าคงเป็นอย่างที่จอนนี่บอก คือนอกกรอบ แต่ละครั้งที่เราทำอะไรไม่ค่อยซ้ำ หรือไม่เหมือนเดิม ทุกอย่างเปลี่ยนไปอยู่เรื่อยๆ แล้วแต่นิสัย หรืออารมณ์ในตอนนั้นอย่างเวลาให้สัมภาษณ์ในแต่ละครั้งก็จะไม่เหมือนเดิม เลยกลายเป็นอะไรที่ดูสด เพราะเป็นความรู้สึกของเราจริงๆ

ความรู้สึกของการเล่นคอนเสิร์ตในตอนเด็กๆ กับตอนนี้มันต่างกันไหม

จอนนี่ : แตกต่าง แต่ยังคงสนุกเหมือนเดิม คงเป็นเพราะเราโตขึ้น แฟนเพลงหรือคนดู ก็โตตามกันด้วย เป็นผู้ใหญ่เหมือนกัน ทำให้เวลากรี๊ดก็จะกรี๊ดเหมือนเด็ก แต่พอเพลงช้าก็ฟังแบบผู้ใหญ่ มีการปรบมือ คือไม่เคยเจอมาก่อน ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะมีแต่อารมณ์กรี๊ดอย่างเดียว แต่ตอนนี้กลายเป็นคนดูที่ทั้งอยากฟังและอยากสนุกไปด้วยกัน ความสนใจมีตลอด และพวกเขาโฟกัสมาที่โชว์ ซึ่งทำให้คอนเสิร์ตประสบความสำเร็จขึ้นมาได้ เพราะคนดูสุดยอดขนาดนั้น ซึ่งเราไม่เคยเจอมาก่อนในสมัยที่ยังเด็ก

หลุยส์ : ผมว่าคงเป็นความตั้งใจ พอโตขึ้น ความตั้งใจมีมากขึ้น อยากที่จะเห็นองค์ประกอบต่างๆ ของงาน ซึ่งตอนเด็กๆ จะไม่มีความรู้สึกแบบนี้ จะทำตามแต่สิ่งที่เขาบอก ให้ทำอะไรทำ ไม่ได้คิดเองไม่ได้มีส่วนร่วม รู้เพียงหน้างานเท่านั้น แต่มาถึงตอนนี้เรามีส่วนร่วมทุกอย่างมากขึ้น


ผลงาน

ตอนนี้ทั้งคู่มีผลงานอะไรกันบ้าง

หลุยส์ : มีละคร 2 เรื่อง คือ "ท่านชายในสายหมอก" และ "ซิกเซ้นส์" ซึ่งกำลังถ่ายทำอยู่

จอนนี่ : มีทำห้องอัด และกำลังทำเพลงเล็กๆ ร่วมกับ "เจ" มณฑล จิรา ตอนนี้กำลังอยู่ในสตูดิโอ สนุกดี เป็นโปรเจกท์ที่เป็นตัวของเราเอง อยากจะบ้ามากเท่าไหร่ ไม่เป็นไรทำไปเลย ไม่มีกรอบว่าคนฟังชอบแบบไหน (แต่ลองฟังหน่อยแล้วกัน (หัวเราะ)) อยากทำอะไรใส่เต็ม มีทำแบรนด์เสื้อผ้ากับพี่ชาย และทำหนังสั้น คือผมชอบทำเบื้องหลังมากกว่าอยู่หน้าจอ

มีโอกาสที่จะกลับมาทำงานเพลงร่วมกันอีกไหม

จอนนี่ : เคยคิดว่าจะทำซิงเกิ้ลให้กับแฟนเพลง เพราะเห็นคนดู แฟนเพลง ให้การตอบรับที่ดีขนาดนี้ เลยอยากมีอะไรมาตอบแทน แต่ถ้าเป็นอัลบั้ม เป็นอะไรที่มากกว่านั้น คือยังไม่แน่ใจ

หลุยส์ : อยากทำเพลงกับจอนนี่อยู่แล้ว แต่หากได้ทำคงให้จอนนี่เป็นคนออกเแบบเรื่องแนวเพลง เพราะเขาเก่งทางด้านนี้ และอยากให้เขาคิดค้นว่าอยากได้เพลงประมาณไหน แต่หากเป็นอัลบั้มเต็มเลย อันนี้ยังไม่แน่ใจ เพราะมันใช้เวลาค่อนข้างเยอะ

วงการเพลงบ้านเราตอนนี้คิดว่าเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน

หลุยส์ : คนไทยตอนนี้จะกินกิมจิค่อนข้างเยอะ (หัวเราะ) แต่ผมก็ดูเขานะ เพราะการเต้นอะไรเขาเก่งมาก และแนวเพลงสมัยนี้ค่อนข้างเปลี่ยนไปเยอะมาก

จอนนี่ : วงการเพลงตอนนี้ด้วยกระแสจากเทคโนโลยีเยอะ ทำให้มีการละเมิดลิขสิทธิ์บ้าง ซึ่งทุกคนคงจะรู้และคงจะทำ แต่ไม่ค่อยยอมรับ ถ้ามองในแง่ไม่ดี คือศิลปินอาจไม่ได้ตังค์ แต่มันอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลง อย่างค่ายเพลงหนึ่งค่ายใหญ่ที่มีกำลัง มีสื่อที่ควบคุมได้หมด ทุกคนฟังเหมือนกัน นั่นมันคือวิธีแบบเก่า แต่ตอนนี้แตกออกไป มีอินเทอร์เน็ต มีหลายค่ายเพลง มีค่ายเล็กๆ เกิดขึ้น ซึ่งสามารถทำอะไรก็ได้ และสมัยนี้คนเลือกฟังมากขึ้น เลือกฟังในแบบที่ชอบ และยังมีการเปิดโอกาสสำหรับศิลปินทั่วไปที่อยากจะออกมาโชว์ของ ได้สร้างสรรค์อะไรให้กับเทคโนโลยีที่มีอยู่ สามารถหาสปอนเซอร์ได้โดยตรง ซึ่งตอนนี้มีหลายช่องทางที่น่าสนใจ ซึ่งผมมองว่าดี ทำให้คนมีโอกาสมากขึ้น ได้มีความคิดหลากหลาย สามารถเป็นนักร้องศิลปินได้ง่ายขึ้น


ความรัก

ความรักของทั้งคู่เป็นอย่างไรบ้าง

จอนนี่ : ตอนนี้มีคนที่กำลังคุยอยู่ แต่ยังไม่ได้ถึงขั้นเป็นแฟน ยังต้องศึกษากันอีกเยอะ

หลุยส์ : กับนุ่น (รมิดา ประภาสโนบล) มีความเข้าใจกันดี ประทับใจตรงที่เขาเอาใจเก่ง และรู้นิสัยผมเยอะ เวลาผมจะทำอะไรเขาสามารถรู้ได้เลยว่าสุดท้ายเราจะตัดสินใจแบบไหน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเขาสังเกตการณ์เราได้ดีมาก เขารู้ว่าเราเป็นใครจริงๆ และนี่คือการกลับมาอีกครั้งที่เปลี่ยนไปของ "แร็พเตอร์" ที่แปรเปลี่ยนจากสองเด็กหนุ่ม มาเป็นสองหนุ่มเต็มตัวของวงการในวันนี้


ชื่อ : หลุยส์ สกอตต์
ชื่อเล่น : หลุยส์
เกิด : 4 มีนาคม พ.ศ. 2525
ผลงานที่ผ่านมา : แร็พเตอร์, รักใสใสหัวใจเดียวกัน, สวรรค์เบี่ยง, หวานใจกับนายจอมหยิ่ง, ดอกส้มสีทอง ฯลฯ
ผลงานปัจจุบัน : คอนเสิร์ตแร็พเตอร์, ท่านชายในสายหมอก, The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ

ชื่อ : จอนนี่ อันวา
ชื่อเล่น : จอนนี่
เกิด : 30 สิงหาคม 2524
ผลงานที่ผ่านมา : แร็พเตอร์, มิชชั่นโฟร์โปรเจกท์, อัลบั้มเดี่ยว ฯลฯ
ผลงานปัจจุบัน : คอนเสิร์ตแร็พเตอร์, งานเพลงร่วมกับ เจ มณฑล จิรา ในชื่อ "Katsue"