Inside Dara
ค้นวิถีชีวิตซุปตาร์กว่าจะได้มาไม่ง่ายกับ "ณเดชน์ คูกิมิยะ"

กำลังเข้มข้นเลยทีเดียวสำหรับละครเรื่อง "ลมซ่อนรัก" ซึ่งคนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเรื่องนี้คงจะหนีไม่พ้นพระเอกของเรื่อง "ณเดชน์ คูกิมิยะ" ที่ต้องมารับบทฝาแฝดในเรื่อง ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำหรับพระเอกหนุ่มชื่อดัง วันนี้ "บันเทิง คม ชัด ลึก" มีโอกาสพูดคุยกับพระเอกชื่อดังคนนี้ถึงงานละครและชีวิตความเป็นซูเปอร์สตาร์ของเขา

บทท้าทาย
การต้องมาเล่นเเรื่อง "ลมซ่อนรัก" ในบทฝาแฝดเป็นอย่างไงบ้าง

ตอนที่รู้ว่าจะได้เล่นเรื่อง ลมซ่อนรัก และได้เล่นฝาแฝด ก็ค่อนข้างกังวลว่าเราจะทำได้ไหม จะไหวไหม เป็นการแสดงที่ท้าทายและกดดันมากเหมือนกัน เพราะว่าเราก็เคยเล่นเป็นแค่ตัวละครตัวเดียว พอมาเล่นเป็นตัวละครสองตัว ถ่ายสลับกันไปกันมา ก็กลัวว่าจะสับสน จะเละตุ้มเป๊ะไปหมด แต่ผู้กำกับคือพี่ชุ (ชุดาภา จันทเขตต์) ให้มาเวิร์กช็อปกันก่อน แล้วเรามาดีไซน์วิธีการ ดีไซน์ตัวละครให้ตัวละครของปราณ และหมอณนต์แตกต่างกัน การแสดงเรื่องนี้ผมทำการบ้านค่อนข้างหนัก พอไปเล่นจริงด้วยการช่วยเหลือของทั้งพี่ชุ ของพี่แต้ว (ณฐพร เตมีรักษ์) ของน้องแพท (แพทริเซีย กู๊ด) รวมถึงนักแสดงคนอื่นๆ ทำให้เราผ่านไปได้ด้วยดี

บทนี้ท้าทายและปรับพัฒนาการแสดงของ "ณเดชน์" อย่างไรบ้าง

มันยากเหมือนกันนะ เพราะการที่เราแสดงสองตัว บางทีเราก็เล่นแล้วมันก็มีหลุดคาแรกเตอร์ตัวละครไปอีกตัวหนึ่ง ซึ่งพี่ชุ ผู้กำกับก็จะบอกผมตลอดว่าให้มาดูมอนิเตอร์ ให้มาดูว่าการแสดงของตัวละครแต่ละตัวที่เราแสดงเป็นแบบไหน เพราะบางทีเราเองก็สับสนด้วยบท ที่มีเรื่องของการสลับตัว หมอณนต์มาเป็นปราณ แต่เราต้องแสดงออกให้คนดูรู้ว่านี่คือหมอณนต์ ที่มาเป็นปราณ มันยิ่งเป็นเรื่องยาก กว่าจะมาถึงตรงจุดนี้ได้ บอกเลยว่าทีมงานทุกคนในเรื่องนี้รวมถึงนักแสดงทุกคนเก่งและสุดยอดมาก แต่ตัวละคร 2 ตัวนี้มีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน ปราณก็สุขุม ส่วนหมอณนต์ก็ร่าเริงแจ่มใส

การได้มาเล่นบท "ปราณ-หมอณนต์" เหมือนเป็นการพิสูจน์ฝีมือของณเดชน์เลยไหม

จริงๆ ตอนที่มาเล่นเรื่องนี้ผมเองไม่ได้คิดว่าเป็นบทที่เราจะได้โชว์ของ โชว์ฝีมือ เราแค่รู้สึกว่าจะทำยังไงให้เข้าฉากแล้วไม่ทำให้คนอื่นเสียเวลา หรือทำให้ทีมงานต้องมายุ่งยากกับเรา และเมื่อละครออนแอร์ไปแล้ว คนดูจะไม่ได้รู้สึกว่าเสียดายที่บทนี้เป็นเราเล่น ก่อนที่ละครจะออนแอร์ ผมเองก็มีคิดกังวลคนเดียวว่าคนจะรักในตัวละครที่เราเล่นไหม คนจะรักปราณไหม เพราะในเรื่องบทของปราณ เขาอาจจะดูไม่ได้มีสีสันมากเท่าบทของณนต์ แต่บทของปราณในเรื่องนี้ก็มีเสน่ห์ พอละครออนไปได้สักพักก็มีแฟนละครบอกว่า ตอนแรกอยู่ทีมหมอณนต์ แต่ตอนนี้อยู่ทีมปราณแล้ว เพราะตอนงอน ตอนอะไรปราณก็น่ารัก (หัวเราะ) แต่คนคงเกลียดตอนที่ปราณโยนหมอนใส่ภัทริน

ในเรื่องนี้ได้ประกบกับนางเอก 2 คน "แต้ว" ณฐพร กับ "แพทริเชีย กู๊ด" ด้วย

เป็นเรื่องที่ดีมากเลย เพราะทั้งสองคนเป็นคนที่มีความสามารถมาก อย่างพี่แต้ว ไม่ต้องห่วงเลย อายุการทำงานเขาก็มากกว่าผม อายุเขาก็มากกว่าผม (หัวเราะ) แซวๆ การได้ทำงานกับพี่แต้วทำให้ผมได้อะไรจากพี่แต้วมาค่อนข้างเยอะ ในเรื่องของการแสดง เพราะมีหลายฉากที่เข้าด้วยกันและเป็นซีนหนักๆ คือพี่แต้วก็ส่งอารมณ์ให้ผมอย่างที่ทำให้เราสามารถสื่ออารมณ์ตอบกลับไปได้อย่างดี เขาเป็นคนที่มีอินเนอร์ในการแสดงเยอะ และมันเป็นสิ่งที่โชคดีของเราที่ได้แสดงร่วมกับเขา เอาจริงๆ นะพี่แต้วเป็นคนที่หน้าตา กิริยา น่ามองมาก ผมชอบแอบมองเขา (หัวเราะ) และเขาก็จะมีมุมที่อยากจะตลกกับเรา เฮฮากับทุกคน ก็น่ารัก แต่ช่วงแรกๆ ตอนที่มาทำงานกับพี่แต้ว ก็เกร็งๆ เหมือนกัน เพราะก่อนนี้หน้านางเอกที่ผมร่วมงานด้วย ก็เป็นคนที่รู้จักสนิทสนมกัน แต่กับพี่แต้วเราอยู่กันคนละกลุ่ม พอได้มาทำงานร่วมกันจริงๆ ก็เข้ากันได้ดี เราก็พยายามคุยกับพี่เขาให้มาก เข้าหาเขาให้มากเพื่อจะได้รู้จักตัวตนของเขา ส่วนกับน้องแพทเองก็เหมือนกัน เราก็พยายามเข้าหาเขา แกล้งเขา เพราะสำหรับผมแล้ว ถ้าจะสนิทกันเราต้องแกล้งกันก่อน เพื่อตีกำแพงต่างๆ ที่อาจจะกั้นความรู้สึกของพวกเรา

ได้อะไรจากการแสดงละครเรื่องนี้บ้าง

ผมว่าเรื่องของความอดทน เพราะว่าเวลาที่ผมถ่ายแฝด ผมต้องถ่ายสลับกันไปกันมา ไม่มีเวลาว่างเลย อย่างเวลาอยู่กองอื่น ผมจะพกกล้องไปถ่าย แต่กองนี้เราทำแบบนี้ไม่ได้เลย คิวแน่นมาก ไม่มีเวลาว่าง เพราะเราต้องเล่นบท 2 ตัวละคร เรื่องนี้ได้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในการแสดงของเราไปอีกแบบหนึ่ง เราไม่เคยสัมผัสแบบนี้ มีคนบอกว่าการแสดงของผมพัฒนาขึ้น ผมต้องขอบคุณจริงๆ ที่มีคนบอกแบบนั้น เพราะสำหรับผมแล้ว ผมเองไม่ได้รู้สึกว่าเราเองพัฒนาขึ้น เพราะในส่วนตัวผมยังรู้สึกว่าการแสดงของผมยังเทียบกับนักแสดงคนอื่นๆ ไม่ได้ ผมเองยังต้องเรียนพิเศษ คือไปเติมเรื่องของการแสดงอยู่ตลอด มันเหมือนเครื่องยนต์ที่เราต้องคอยเปลี่ยนอะไหล่ คอยไขนอต เพื่อให้เครื่องมันสามารถขับเคลื่อนไปอย่างดี

ชีวิตซุปตาร์
5 ปีชีวิตวันนี้ของ ณเดชน์ เปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก

เปลี่ยนไปเหรอ ถ้าในความรู้สึกของผมมันไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ผมเองยังเป็น ณเดชน์ คูกิมิยะ คนเดิม แต่แค่เราอาจจะมีคนรู้จักมากขึ้น ซึ่งผมเองไม่เคยคิดว่าผมจะมีคนที่รักและรู้จักเรามากขนาดนี้มาก่อน ผมเองเดินชีวิตของผมไปเรื่อยๆ ตอนที่เข้าวงการมาแรกๆ ความรู้สึกคือสนุกสนาน เราไม่เคยทำแบบนี้ ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน ได้เห็นอะไรที่แปลกใหม่ มันไม่จำเจ

คิดไหมว่าถ้าเมื่อ 5 ปีที่แล้วไม่เลือกเดินมาบนเส้นทางนี้ ณเดชน์ จะมีชีวิตแบบไหน

ถ้าไม่ได้เข้ามาอยู่ในวงการ ผมเองก็คงเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป จะไม่ได้มีชีวิต หรือจะเจอมุมใหม่ๆ ในชีวิตแบบทุกวันนี้ ชีวิตคงจะเป็นสเต็ปที่ว่า ชีวิตเรียนมหาวิทยาลัย ไปเที่ยว ไปใช้ชีวิตกับเพื่อนๆ เก็บหอมรอมริบ ทำงาน แต่การมายืนตรงนี้ผมเองก็ภูมิใจมากๆ เพราะผมรู้สึกว่าผมโตกว่าตัว ได้ทำหน้าที่เป็นเสาหลักของบ้าน ได้ดูแลทุกคนในครอบครัว ซึ่งของแบบนี้มันหาสิ่งมาทดแทนไม่ได้แล้ว ถ้าไม่ได้มาเป็นตรงนี้ ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมจะดูแลครอบครัวได้แบบนี้หรือเปล่า มันทำให้เราภูมิใจและรู้สึกว่าเราคงต้องทำงานตรงนี้ต่อไป หนึ่งคือเพื่อตัวเราเอง และสองเพื่ออนาคตของครอบครัว

ภาระหนักมากไหมกับการเป็นซุปตาขวัญใจแฟนๆ

ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นภาระ และไม่ได้รู้สึกว่าผมต้องแบกอะไรไว้ โอเคเวลาทำงานผมก็เป็นณเดชน์ ที่ทุกคนรู้จัก แต่เมื่อกลับบ้านไปผมก็เป็นไอ้เด็กแบร์รี่ เด็กวัยรุ่นอายุ 23 ปี ที่มีชีวิตเหมือนทุกคน เพียงแต่ว่าเวลางาน หรือช่วงเวลาที่เราทำงานเราอาจจะต้องวางตัวให้มันเหมาะสม แต่นอกเวลางานผมก็ยังเป็นคนติ๊งต๊อง ปัญญาอ่อนเหมือนเดิม (หัวเราะ) คนอาจจะบอกว่าการมายืนตรงนี้ต้องแลก แต่สำหรับผมมันคือการแลกที่คุ้ม เพราะผมได้อะไรมากมายกับตรงนี้ เพียงแค่ว่าเราต้องทำความเข้าใจ ซึ่งผมว่ามันเป็นการทำความเข้าใจที่ง่ายมาก

คนบอกว่า "ณเดชน์" เข้าถึงยาก

ผมไม่ได้เป็นคนอีโก้จัด หรือวางตัวสูงอะไร ผมยังเป็นผมคนเดิม ถามว่าการเป็นผมในวันนี้เหมือนอยู่ในที่ที่ สว่าง หากวันหนึ่งเราทำอะไรผิดไปก็ไม่แปลกที่จะมีคนเห็นและต่อว่าต่อขาน ซึ่งมันก็เป็นบทลงโทษที่ถูกต้อง เมื่อเราทำผิด ผมรู้ตัวว่าวันนี้ของผมมีทั้งคนรักและคนเกลียด ซึ่งผมชินชาเรื่องแบบนี้มากๆ แต่ผมไม่เคยโกรธ คนที่เกลียดผม สำหรับผมแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ปล่อยวางง่ายมาก เราต้องสร้างความสุขให้ตัวเอง เราอย่ายึด หรือยกอะไรที่มันไม่เป็นความสุขของเราไว้ วันนี้ผมมีเสียงหัวเราะ มีเรื่องดีๆ อยู่ในหัวมากมาย อะไรที่มันไม่จำเป็นต่อสมองของเรา เราก็แค่วางมันลงไปเท่านั้น

เวลาเจอเรื่องหนักๆ เรื่องแย่ๆ รับมือยังไง

ผมจะหากิจกรรมที่ทำแล้วมีความสุข อย่างร้องเพลง ดูคลิปตลก หรืออยู่กับคนที่เรารัก ครอบครัว เพื่อนๆ คนเหล่านี้เป็นกำลังใจและคอยเติมพลังให้เรา อย่างป๋ากับแม่ ท่านสองคนเป็นผู้ใหญ่จะมีคำแนะนำ มีมุมมองที่อาบน้ำร้อนมาก่อน แต่บางอย่างท่านก็เห็นว่าเราโตแล้ว ท่านก็จะให้สิทธิ์และการตัดสินใจแก่เรา เพื่อให้เราได้เรียนรู้เอาเอง แต่อะไรที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกไม่ควรท่านก็จะตักเตือน

รักแบบลับๆ ของ 'ณเดชน์'
มีคนแซวว่าความรักของ "ณเดชน์" จะต้องเป็นความลับจริงไหม

ไม่ได้เป็นความลับนะ ก็รู้กันหมดหนิ (หัวเราะ) ผมก็ไม่ได้ปิด ไม่ได้อะไรนะ เพียงแต่ว่าต้องอยู่ในความพอเหมาะพอดี อนาคตยังมีอะไรที่ต้องทำ ต้องเจออีกหลายอย่าง ใจเย็นๆ เหมือนน้ำต้มไก่ ไม่ต้องรีบ ค่อยๆเคี่ยวให้อร่อยดีกว่า

ในวันนี้จะเรียกสถานะของ "ณเดชน์-ญาญ่า" ว่าอะไร

ผมคงไม่ระบุ หรือหากใครจะเรียกว่าอะไร ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ เพราะถึงผมจะระบุสถานะไปยังไง แต่คนอื่นๆ ก็ไประบุสถานะของเราสองคนกันเองอยู่แล้ว ผมก็คงไม่ตอบตรงนี้ แต่ถามว่าความรู้สึกของเรากับน้องเป็นยังไง แฮปปี้นะ

หลายคนอยากให้คู่ "ณเดชน์-ญาญ่า" ชัดเจนเหมือน "หมาก-คิม" ตัวณเดชน์ว่ายังไง

ผมว่ามันก็มีความชัดเจนคนละแบบนะ เพราะด้วยเราทั้ง 4 คนก็สนิทกัน แต่เรื่องแบบนี้มันก็เป็นเรื่องที่แตกต่างกันไปของแต่ละคน

มุมมองความรักในวันนี้ของณเดชน์ เป็นยังไง

มุมมองความรักของผมในตอนนี้ ผมมองความรักเป็นสิ่งที่ดีมากๆ เป็นสิ่งที่ทำให้เราเด็กลง ปัญญาอ่อนมากขึ้น และทำอะไรบ้าๆ บอๆ ได้ ทำให้เรารู้สึกอยากหาอะไรใหม่ๆ เข้ามา ทำให้เรามีความสุข และที่สำคัญที่สุดคือ การที่เราเป็นกำลังใจให้กัน ถามไถ่และแบ่งปันเรื่องราวทุกข์และสุข แชร์ความห่วงใยและเข้าใจกัน

นี่แหละ!! ชีวิตของซูเปอร์สตาร์ "ณเดชน์ คูกิมิยะ"

ชื่อ ณเดชน์ คูกิมิยะ

ชื่อเล่น แบรี่

เกิด 17 ธันวาคม พ.ศ. 2534 (23 ปี)

การศึกษา จบการศึกษาปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

ผลงานการแสดงที่ผ่านมา เงารักลวงใจ ซีรีส์ชุด 4 หัวใจแห่งขุนเขาเ เรื่องดวงใจอัคนี เกมร้ายเกมรัก แรงปรารถนา ซีรีส์ชุดไรซิง ซัน เรื่องรอยฝันตะวันเดือด

ผลงานปัจจุบัน ลมซ่อนรัก

ผลงานเรื่องต่อไป ตามรักคืนใจ

ผลงานภาพยนตร์ คู่กรรม