Inside Dara
แซนวิช ปภาดา เปิดบ้านแจงปัญหาถูกล็อก เผยเหมือนโดนหักหลัง

วันที่14 ก.พ. แซนวิช ปภาดา โชติกวณิชย์ นักแสดงสาวอดีตภรรยานักร้องดัง เสก โลโซ ได้เปิดบ้านย่านบางพลี ซึ่งเป็นบ้านหลังที่เคยมีข่าวถูกล็อก เปิดใจถึงปัญหาต่างๆ กับเจ้าของบ้านเดิม จนตอนนี้กลายเป็นเรื่องฟ้องร้อง

เหตุการณ์เป็นอย่างไร? “เริ่มแรกที่แซนโพสต์คือมีโซ่มาคล้องหน้าบ้าน ตอนแรกเราไม่รู้ว่าเป็นโซ่ของใคร แต่ใจเราคิดไว้แล้วว่าเป็นใคร เลยไปโทรหาทนาย ทนายบอกให้เราไปแจ้งความไว้ก่อน เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไปลงบันทึกประจำวันไว้ เสร็จแล้วตำรวจแนะนำให้ไปดูกล้องวงจรปิดว่าใครมาคล้อง ตำรวจอนุญาตให้แซนตัดโซ่ได้เลย เราไปหาช่างมาตัดโซ่ แต่พอมาถึงบ้านประมาณ 6 โมง โซ่ไม่มีแล้ว”

เรื่องราวปัญหาเรื่องบ้านของเราเป็นอย่างไร? “เรื่องมันตั้งแต่ปีที่แล้ว เราได้ปรึกษากับทนาย กำลังรวบรวมเอกสาร แต่มาเกิดเรื่องโซ่ก่อนเรื่องเลยแดง เรื่องมันร้ายแรงแล้ว ถึงขั้นที่ว่าล็อกบ้านโดยที่ไม่ได้แจ้งเรา เราไม่รู้ตัวเลย คือไปต่างจังหวัดกลับมาแล้วบ้านถูกล็อก รู้สึกว่ามันรุนแรงเกินไป

เรื่องบ้านหลังนี้ มันย้อนไปเมื่อปี 2557 เราได้ซื้อบ้านหลังนี้ ในนามคนสนิท คือบ้านเป็นของเขามาก่อน เรามาซื้อมือสอง ในช่วงที่เราผ่อนบ้าน เราก็ทำสัญญาจัดซื้อจัดขายไม่มีสัญญาเช่านะ ในสัญญาไม่มีระยะเวลาบอกว่าถึงเมื่อไหร่

แต่เขาบอกว่าให้ระยะเวลา 6 เดือน ในการผ่อนดาวน์ เดือนละ 2 หมื่นบาท ทุกวันที่ 25-26 ของเดือน 7 ปีผ่านไป เขาก็ยังให้เราส่งบ้านเหมือนเดิม เดือนละ 2 หมื่น เมื่อ 2 ปีที่แล้วคุณพ่อย้ายไปสร้างบ้านที่ต่างจังหวัด เลยบอกพ่อว่านั้นเดี๋ยวผ่อนบ้านหลังนี้เอง แต่ขอผ่อนกับธนาคารได้ไหม แซนไม่อยากผ่อนแบบนี้

พ่อเลยไปคุยกับฝั่งคนสนิทเพื่อให้มาทำสัญญาฉบับใหม่ว่าเราจะยื่นซื้อบ้านและผ่อนต่อกับธนาคารเอง พอเรามาทำสัญญาบ้านกับราคาเท่าเดิม เราก็เอะใจว่าทำไมบ้านราคาเท่าเดิม ทำไมไม่หักยอดที่เราส่งมาตั้ง 7 ปี ยอดมันหายไปไหน ด้วยว่าเขาสนิทกับพ่อ เลยให้เขาไปคุยกันเอง

เขายื่นเสนอมาว่าระหว่างที่เรายื่นเรื่องกู้ ก็ให้เราจ่ายค่าเช่า เขาบอกเราจ่ายค่าเช่าเดือนละหมื่นห้า พ่อบอกไม่ไหว ขอเป็นเดือนละ 1 หมื่น เขาก็ไม่ยอม และบอกว่าส่วนที่เราจ่ายมา เขาจะหักเป็นค่าเช่า เขาก็ไม่ยอมคืนเงิน

พ่อเขาก็ยอมไปก่อน แล้วเงินส่วนที่เขาหักมันก็มีเงินส่วนที่เขาค้างเราอยู่ เลยบอกว่าระหว่างนี้แซนจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด เงินที่เขาจะหักก็ให้เขาไปหักยอดเก่าแล้วกัน เพราะว่ามันมีที่ค้างอยู่ แต่เขาไม่ยอม เขาบอกว่าเงินที่ค้างอยู่ เอาไปเป็นเงินดาวน์แล้วกัน เหมือนเราต้องดาวน์อีกรอบหนึ่ง

เหมือนเขาจะปิดเราทุกมุมเพื่อให้เราจ่ายเงินเพิ่ม แซนฟังแล้วรู้สึกว่าเราเสียเปรียบ เราโดนหักหลังแล้ว และยังมาปิดเราทุกทาง เราก็ได้แค่ปรึกษากับทนายว่าเราจะทำอย่างไร ทุกครั้งที่เขาทัก เราก็ถามว่าจะเอาอย่างไร ระหว่างหักส่วนค่าบ้านให้เรา กับคืนเงินให้เรา จะเอาอย่างไรก็แล้วแต่ ตามหลักกฎหมายแล้วกัน

เขาก็ไม่ยอมจะเอาแต่ค่าบ้าน แบบนี้คุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว เขาก็ให้ไปคุยกับแฟนเขา เราก็โทรไปหาเขาถามว่าเรื่องบ้านจะยังไงดีค่ะ เขาก็ถามกลับมาว่าจะเอายังไงดี เราก็บอกว่าขอเท้าความไปเมื่อปี 57 เราไม่ได้คุยกันอย่างนี้ ทำไมถึงเกิดแบบนี้ล่ะ เราไม่มีการร่างสัญญาเช่า ไม่มีการพูดคุยในเรื่องนี้เลย ทั้งที่เราเจอกันบ่อย เขาก็บอกว่าเขาเองก็เกรงใจที่จะคุยเรื่องนี้

เลยบอกว่าไม่ต้องเกรงใจแล้วละทำกันขนาดนี้ เขาบอกแซนว่าเขาทำงานหนักมาก จะเอาเวลาไหนมาบอก เราก็ว่า 7 ปี นะไม่ใช่ 7 วินาที แล้วเขาถามว่าจะยังไง แซนบอกว่าไม่ได้พูดถึงเรื่องสัญญา แต่พูดในฐานที่สนิทกัน

มาทำแบบนี้ไม่ละอายใจเลยเหรอ เขาบอกว่าทำไมเขาต้องรู้สึกอะไร ก็เขามีสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของบ้าน นี่มันชื่อเขา แต่ข้อเท็จจริงคือ บ้านนี้เป็นชื่อคุณก็จริง แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็นสัญญาเช่า คุณต้องแจ้งเราตั้งแต่เมื่อ 7 ปีที่แล้ว และทำสัญญาฉบับใหม่ขึ้นมา ทำให้เรารับรู้ ไม่ใช่คุณรับรู้อยู่ฝ่ายเดียว

นี่เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย เราได้แต่ส่ง เพราะคุณให้เราส่ง แล้วคุณบอกตลอดว่ามันเป็นค่าบ้าน พอเราจะมาผ่อนเป็นชื่อเรา คุณกลับไม่ยอม แบบนี้เท่ากับคุณหัวหมอน่ะสิ เขาบอกว่าเขามีสิทธิ์ทำ เขาไม่จำเป็นต้องบอก เราก็บอกว่าไม่ได้ ต่อให้เราไม่รู้จัก ไม่สนิทกัน คุณก็ต้องบอก ว่าจะทำอะไร อยู่ๆ คุณจะมายึดเงินคนอื่นมันทำไม่ได้ เขาก็ไม่ยอม เราเองก็ไม่ยอม

เขาบอกว่าเดี๋ยวเขาเอาทนายมาคุย เราก็เอาทนายมาคุย เพื่อให้รู้เรื่องข้อกฎหมาย ตั้งแต่นั้นมา ก็ตกลงกันไม่ได้มาตลอด จนเลยมาถึงเรื่องบ้าน ที่เขาเอาโซ่มาคล้องบ้าน เขาบอกเขามีสิทธิ์ ก่อนหน้านี้มีการคุยกับพ่อไว้แล้ว ซึ่งพ่อก็ไม่อยากให้เรื่องมันแดง แต่เขาทำขนาดนี้มันเกินไปแล้ว เราพูดแค่เรื่องโซ่มาคล้องประตูบ้าน ตั้งใจจะไม่พูดเรื่องบ้านแล้วนะ ยังถนอมน้ำใจไม่อยากที่จะให้กระทบกระทั่งมากกว่านี้ เราหยุดแล้ว แต่เขายังไม่หยุด

เราโพสต์แค่ในสิทธิ์ของเราที่โดนกระทำ แต่เขาไม่หยุดเอาเราไปพูดกับคนโน้นคนนี้ ใช่บ้านเป็นชื่อเขา แต่รายละเอียดคืออะไร เราถึงได้อยากออกมาอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ไปพูดกับคนอื่นว่าแซนไม่จ่ายค่าบ้าน ไม่จ่ายค่าเช่า แซนเริ่มไม่จ่าย ตอนที่รู้ว่าบ้านหลังนี้แซนจ่ายเงินไปก็เป็นเงินที่สูญเปล่า ไม่รู้ว่าจ่ายไปทำไม ก็เลยคุยกับทนาย แล้วให้เขาดำเนินการดีกว่า กลายเป็นเรื่องจนถึงทุกวันนี้”

เราไม่ได้จ่ายให้เขาตั้งแต่เมื่อไหร? “ตั้งแต่ 25 ม.ค.2565 ทนายบอกว่าเราจะไม่จ่ายก็ได้ สมมติว่าเขาจะหักอิงเรื่องค่าเช่าบ้าน ยอดเก่ามันก็ยังมาค้างอยู่ ที่เขาต้องคืนเรา เราไม่มีความจำเป็นที่ต้องจ่ายเลย เพราะว่ามันมีเงินเก่าที่เขาอยู่ เงินที่ค้างอยู่ที่เขาแซนสามารถอยู่โดยไม่จ่ายค่าเช่าอีกหลายปีค่ะ

อีกอย่างเขาไปแจ้งนิติของหมู่บ้านว่าไม่ให้แซนเข้าบ้านเพราะเป็นบ้านของเขา บอกยามไม่ให้แซนเข้าบ้าน ซึ่งแซนก็ต้องเอาหลักฐานเข้าไปคุยกับนิติ อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น”

ได้ถึงขั้นตอนของศาลบ้างหรือยัง? “ขั้นต้นทนายเขาอยากให้เราไกล่เกลี่ย แต่เราคุยมาหลายรอบ จนตอนนี้ให้ทนายยื่นเรื่องดำเนินคดีไปเลยดีกว่ามายืดเยื้ออย่างนี้ เสียทั้งเขาเสียทั้งเรา ก่อนหน้านี้เราก็ไม่อยากขึ้นศาล คิดว่ามันไกล่เกลี่ยกันได้”

บ้านที่ทำสัญญาซื้อขายเท่าไหร่? “3.2 ล้านบาท ซึ่งเมื่อปี 57 เราได้จ่ายเงินดาวน์ไปแล้ว 1 แสนบาท และจ่ายเดือนละ 2 หมื่น มา 7-8 ปี รวมแล้วที่จ่ายไปทั้งหมดประมาณ 1.5 ล้านบาท ซึ่งพอเขาทำสัญญาซื้อขายใหม่ เขาก็จะเริ่มต้นที่ 3.2 ล้านบาทเท่าเดิม เขาบอกว่าเงินที่จ่ายไป หักเป็นค่าดาวน์ไป ซึ่งมันไม่ได้ เราโดนกระทำ ไม่ใช่ว่า 7 ปีที่ผ่านมาเราเบี้ยวค่าส่ง แต่นี่เราส่งตลอด”