Inside Dara
“เฌอเบลล์” นางเอกอย่างฉันไม่แคร์สื่อ!

คงต้องลบภาพ “หญิงสาวเจ้าน้ำตา” จากละครเรตติ้งดีเรื่อง “ดอกโศก” ออกไปให้หมด เพราะตัวจริงที่ได้พบพูดคุยในวันนี้ ช่างแตกต่างกันจนแทบหาจุดคล้ายไม่เจอ คือนอกจากจะไม่อ่อนหวาน เรียบร้อย บอบบางอย่างในจอ เธอยังเป็นคนสบายๆ ลุยๆ ห้าวๆ จนออกแนวฮาๆ เสียด้วยซ้ำ ทั้งยังตอบทุกเรื่องอย่างตรงมาตรงไปโดยไม่ต้องคอยรักษาภาพลักษณ์ให้ปวดหัว โดยเฉพาะเรื่องราวอึดอัดใจที่ “เฌอเบลล์-ลัลณ์ลลิน เตจะสา เวศซ์” ปลดปล่อยเอาไว้อย่างเต็มที่ในบทสัมภาษณ์นี้แบบไม่แคร์สื่อแม้แต่นิดเดียว


โศกจนไมเกรนขึ้น

ถึงแม้ละครเรื่อง “ดอกโศก” จะปิดทำนบความเศร้ากันไปแล้ว แต่เชื่อว่าแฟนละครหลายๆ คนยังคงรู้สึกสงสารนางเอกจับใจทุกครั้งที่เห็นเธอหลั่งน้ำตา จนพานให้นึกสงสัยอยู่ในใจว่านักแสดงวัย 20 รายนี้มีปมหลังฝังใจเรื่องอะไรในชีวิตนักหนา เหตุใดจึงถ่ายทอดบทเศร้าได้น่าเห็นใจขนาดนั้น คนที่ถูกพูดถึงได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับเสียงตอบรับ แล้วค่อยๆ แก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองให้เข้าใจตรงกันว่า “จริงๆ แล้วเป็นคนแสบ ซน แล้วก็แรงค่ะ (หัวเราะ) ไม่ได้ชอบร้องไห้เหมือนในละครเลย”

เฌอเบลล์บอกว่านิสัยตัวละครกับตัวจริงของเธอ เทียบกันแล้วแทบไม่มีข้อไหนเหมือนกันเลย “ถ้าจะเหมือนก็ตรงที่มีชีวิตขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกันค่ะ (ยิ้มขี้เล่น)” ส่วนนิสัยเรียบร้อย อ่อนหวาน และร้องไห้ง่ายๆ นั้นลืมไปได้เลย “นานๆ ทีจริงๆ ค่ะถึงจะร้อง ต้องเป็นเรื่องที่กระทบความรู้สึกมากๆ หรือเป็นสิ่งที่เรารักจริงๆ อย่างเรื่องพ่อแม่ เพื่อน แล้วก็สัตว์เลี้ยง แล้วถ้าร้อง ก็จะไปแอบร้องกับตัวเองคนเดียวด้วย ไม่ยอมให้ใครเห็น” เธออธิบายตัวตนคร่าวๆ ให้ได้ทำความรู้จักกันใหม่อีกครั้ง

ในเมื่อไม่ใช่คนเจ้าน้ำตาแต่ต้องมารับบทร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้ ย่อมถือเป็นงานหนักมากๆ โดยเฉพาะกับนักแสดงหน้าใหม่อย่างเธอ ทางค่ายมีเวลาให้เข้าคอร์สเรียนการแสดงอยู่ไม่กี่เดือนก็ส่งลงสนามจริง แถมยังถ่ายทำไปพร้อมๆ กันถึงสองเรื่อง ทั้ง “ลิขิตฟ้าชะตาดิน” ละครเรื่องแรก และเรื่อง “ดอกโศก”

เล่นเอาสับสนจนหยิบบุคลิกทั้งสองตัวมาปนกันให้มั่วไปหมด โชคดีที่ได้ผู้กำกับฝีมือดีคอยช่วย เสริมแรงด้วย บอย-ถกลเกียรติ บิ๊กบอสใหญ่แห่งค่ายเอ็กแซ็กท์แวะลงมาติวเข้มให้เอง จึงช่วยให้ผ่านพ้นวันคืนอันแสนทรหดเหล่านั้นมาได้ แต่ถึงอย่างนั้น ฉากดราม่าก็ยังทำนางเอกสาวเครียดทุกครั้งที่ต้องแสดง จนถึงขั้นไมเกรนขึ้นกันเลยทีเดียว

“ถึงตอนหลังเหลือถ่ายเรื่องเดียวแล้ว แต่ความกดดันก็ไม่ได้ลดลงกว่าเดิมเท่าไหร่นะคะ ด้วยความที่เราอยากตั้งใจทำงานออกมาให้ดีที่สุด แต่บางทีจำบทไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก ไม่อยากจะไปเป็นตัวถ่วงคนอื่นเขา มันยิ่งรู้สึกกดดันหนักเลยค่ะ บางวันต้องร้องไห้ตั้งแต่เช้ายันเย็น พอกลับถึงบ้านก็เพลียมาก แต่ก็ต้องอ่านบทเตรียมพร้อม วันต่อมาก็ต้องมาร้องไห้อีกเหมือนเดิม แล้วเราเป็นไมเกรนอยู่แล้วด้วย พอเครียดแล้วจะลงกระเพาะตลอด"

"หลังๆ พอมีเวลาว่างเลยต้องบำบัดตัวเองด้วยการนั่งเล่นเกม เวลาอยู่บ้านก็ฟังเพลง ไม่ก็เล่นกับแมวหรือดูการ์ตูน ต้องเอาความเครียดไปลงตรงนั้นแทนค่ะ (ยิ้มเนือยๆ) ต่อไปถ้ามีละครแนวอื่นเข้ามาให้เล่นบ้างก็คงดีนะ อยากลองเหมือนกันค่ะ” ดูเหมือนเธอจะโศกมามากจนอยากพักแนวนี้บ้างแล้ว

ไม่สวยแต่มีเสน่ห์

“ไม่ได้สวยโดดเด่น ไม่ถึงกับสะดุดตา แต่ยิ่งดูยิ่งชอบ ยิ่งแสดงยิ่งอิน” คือฟีดแบกเอกฉันท์ที่คอละครพูดถึงนางเอกนัยตาเศร้าคนนี้ เจ้าตัวได้แต่น้อมรับอย่างปลื้มใจ ฉายให้เห็นท่าทีเอียงอายเล็กน้อยก่อนตอบว่า “ตัวหนูเองก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองหน้าตาดีหรืออะไร ไม่ได้คิดว่าจะเข้าวงการตั้งแต่แรกด้วยค่ะ แต่ไปๆ มาๆ มันก็เลยเถิดมาได้ ก็ยังงงๆ อยู่ว่าหลุดมาถึงตรงนี้ได้ยังไง (ยิ้มมุมปาก)”

โชคชะตาบนเส้นทางสายบันเทิงนี้เริ่มจากการยินยอมถ่ายมิวสิกวิดีโอเพลง “ต่อให้เธอจะลืม” ของ ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม ตามคำเชิญชวนของรุ่นพี่ที่รู้จักกัน ได้สตางค์ตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ เก็บไว้เป็นค่าขนมระหว่างส่งเสียตัวเองเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหงชั้นปีที่ 1 ต่อด้วยการโชว์สเตปในมิวสิกวิดีโอเพลง “เลิฟลี่ เกิร์ล” ของ สิงโต เดอะสตาร์

ปูทางให้ค่ายเอ็กแซ็กท์สนใจในลีลาการเต้นสุดร้อนแรงจนต้องเชิญเป็นเกสต์ในคอนเสิร์ต “เลิฟไม่กลัว กลัวไม่เลิฟ” ของ บี้ เดอะ สตาร์ กระทั่งความเฉิดฉายของเธอเข้าตา บอย-ถกลเกียรติ ชวนให้จับเซ็นสัญญาเป็นนางเอกละครมาจนถึงทุกวันนี้ ถือได้ว่าโอกาสที่ผ่านเข้ามารวดเร็วมากๆ จนเธอแทบตั้งตัวไม่ทัน โดยเฉพาะความรู้เรื่องละครซึ่งเฌอเบลล์ไม่เคยสนใจติดตามมาก่อนเลย

“ตอนบอกว่าพี่บอย (ถกลเกียรติ) มาชวน ยังไม่รู้จักเลยค่ะ (หัวเราะแก้เขิน) เป็นคนที่อยู่แต่กับการ์ตูน กับเรื่องที่ตัวเองสนใจ ไม่เคยติดตามโลกภายนอก ไม่ได้ดูละคร ไม่เคยรู้เรื่องวงการบันเทิง เพลงก็ฟังแค่แนวที่ชอบ แล้วก็ดูหนังบ้าง ชีวิตวนเวียนอยู่แค่นี้ พอมาลองละครเลยเป็นเรื่องใหม่สำหรับเรามากๆ ยิ่งเราเป็นคนชอบดูหนัง พอมาใส่แอกติ้งแบบละคร จะรู้สึกเลยว่ามันโอเวอร์เกินไป มันเยอะกว่าในชีวิตจริงที่เราเคยทำมากๆ เลยค่ะ คือปกติแค่ร้องไห้ระดับนี้ เราก็ว่าเราเสียใจมากแล้วนะ แต่พอเป็นละคร มันต้องมากกว่านี้อีก เยอะกว่านี้อีก โห! ต้องใช้เวลานานอยู่เหมือนกันค่ะกว่าจะเข้าใจว่าเยอะกว่านี้คืออะไรและต้องทำยังไง”

ถึงตอนนี้ ดูเหมือนเธอจะเข้าใจแล้วว่าศาสตร์ของละครเป็นแบบไหน เพราะผู้ชมที่ได้ติดตามเรื่อง “ดอกโศก” ต่างยกป้ายให้เธอสอบผ่านอย่างเป็นเอกฉันท์ ซ้ำยังชื่นชมว่าเป็นนางเอกหน้าใหม่ที่มีเสน่ห์ทางการแสดงเหลือล้น เทียบกับละครเรื่องแรกของเธอแล้ว ถือได้ว่าพัฒนาแบบก้าวกระโดดทีเดียว ส่วนสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นอาจเพราะเพิ่งค้นพบความสุขในการทำงานเมื่อไม่นานมานี้เอง

“ตอนที่เล่นเรื่องแรก เรายังเครียดมากกับหลายๆ เรื่อง พี่ปุ๊ย (ผอูน จันทร์ศิริ) ผู้กำกับก็พยายามจูนเข้าหาเราแล้วนะ แต่เป็นที่เรายังปรับตัวไม่ค่อยได้ บางทีถูกด่าก็รู้สึกท้อค่ะ เข้าใจว่าเขาด่าเพราะอยากให้ได้ดี แต่ก็แอบน้อยใจว่าทำไมต้องด่าด้วย เราก็ทำเต็มที่แล้ว (ยิ้ม) แต่หลังๆ ก็ไม่คิดมากเรื่องโดนติโดนว่าแล้วค่ะ เข้าใจว่าเขาว่าเพื่อให้งานออกมาดี"

"เพิ่งมาค้นพบว่าตัวเองชอบการแสดงก็เรื่องดอกโศกนี่เองค่ะ รู้สึกว่ามันสนุกดี ได้รู้อะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนในชีวิต ได้ทำบางอย่างที่ไม่เคยทำ เช่น ร้องไห้ฟูมฟายหรืออ้อนใครมากๆ ก็รู้สึกแปลกๆ ดีค่ะ เขินบ้าง ขำตัวเองบ้าง แต่ก็สนุกดี ส่วนเรื่องฟีดแบก ก็ดีใจค่ะที่คนดูชอบ คือตอนแรกเราไม่ได้หวังอะไรเลย แค่พยายามทำงานหนัก ระหว่างนั้นก็มีทั้งเหนื่อยทั้งท้อ แต่ก็พยายามทำดีที่สุดแล้วค่ะ”

อย่าหยอดคำหวาน

ย้อนกลับไปในตอนเปิดซิงการแสดงครั้งแรก เฌอเบลล์ยังจำความรู้สึกหน้ากล้องในการถ่ายทำซีนแรกได้เป็นอย่างดี เธอเล่าด้วยสีหน้าแววตาที่ยังคงความตื่นเต้นเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม “ทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะ ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ความรู้สึกของตัวละครก็ไม่อิน จำได้ว่าโดนผู้กำกับดุหลายรอบมาก เล่นก็แข็งด้วย เพราะเราไม่รู้จะขยับตัวยังไง กลัวขยับผิดขยับถูกเดี๋ยวจะผิดคิวอีก เลยไม่กล้าขยับตัวมาก แต่พอไม่ขยับก็ยิ่งแสดงแข็งไปกันใหญ่เลย” เธอหัวเราะให้แก่ความเปิ่นของตัวเองในวันวาน

ถึงแม้ละครเรื่องล่าสุดซึ่งเพิ่งอวสานลงไปจะเป็นเพียงผลงานเรื่องที่สองของเธอ แต่การได้ปะทะฝีมือกับนักแสดงแนวหน้าของเมืองไทยหลากหลายท่านอย่าง จารุณี สุขสวัสดิ์, ปวีณา ชารีฟสกุล, เกรียงไกร อุณหะนันท์, มยุริญ ผ่องผุดพันธ์, โสภิตนภา ชุ่มภาณี ฯลฯ ก็ช่วยให้นางเอกหน้าใหม่อย่างเธอเก็บเคล็ดวิชาจากรุ่นพี่ในวงการเอาไปใช้ได้มากทีเดียว

โดยเฉพาะคนที่ต้องเข้าฉากด้วยกันมากที่สุดอย่างพระเอกหนุ่มสุดฮอต “ป้อง-ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์” ซึ่งมีฉากเลิฟซีนหวานๆ น้ำตาลเรียกแม่ด้วยกันเยอะมากๆ เล่นเอาเขินไปตามๆ กันเลยทีเดียว แต่เฌอเบลล์ย้ำว่าไม่ได้เขินในแบบที่หลายๆ คนคิดนะ

“ไม่ได้เขินแบบนั้นหรอกค่ะ แต่เขินแบบขำๆ มากกว่า เพราะเราไม่ได้คิดกับพี่เขาแบบนั้น เรามองเขาเป็นพี่ป้อง มองเหมือนพี่เหมือนเพื่อนมากกว่า เวลาคุยกัน ปกติก็จะเรียกแทนตัวกันว่าเธอๆ ฉันๆ แล้วพอต้องมาเล่นฉากสวีตกัน มาจิ๊จ๊ะใส่กัน มันก็จั๊กกะจี้น่ะค่ะ (ยิ้มเขินๆ) มันรู้สึกขำๆ นะ คือเราเองก็มีเพื่อนผู้ชายเยอะ ไม่งั้นก็มีเพื่อนเป็นทอมไปเลย เวลาอยู่กับเพื่อนเลยติดจะห้าวๆ มากกว่า พอมาเจอคำพูดหวานๆ ในบทเข้า มันก็เลยไม่ชิน เลยยิ่งขำไปกันใหญ่”

“ตอนเข้าฉากกับสามหนุ่มในเรื่องก็เหมือนกันค่ะ ทั้งเซน, แฟร์ แล้วก็พี่อรรค นอกฉากจะพูดเล่นกันตลอด พอต้องมาแสดงหวานๆ บอกฉันคิดถึงเธอนะ (ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่) ก็ต้องขอตั้งสมาธิก่อน บอกว่าเดี๋ยวแป๊บนึงนะ ขอขำก่อน มันไม่ไหวจริงๆ รับไม่ได้ (หัวเราะ) รู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้วมาแสดงแบบนี้มันดูขัดแย้งมาก ผู้กำกับเขาก็จะรู้ค่ะว่าก่อนจะแสดงจริงต้องปล่อยให้หนูขำให้สุดก่อนถึงจะเล่นได้ ไม่งั้นเล่นไปก็จะหัวเราะออกมาแน่ๆ”

พูดอย่างนี้แสดงว่าเธอคงไม่ชอบผู้ชายประเภทเข้ามาจีบแบบหยอดคำหวานเท่าใดนัก หลายคนคงอยากรู้ว่าผู้ชายที่จะสามารถเอาชนะใจหญิงสาวลุยๆ ตรงๆ ห้าวๆ คนนี้ได้ จะเป็นอย่างไรกันแน่ เป็นผู้ชายเจ้าเสน่ห์ มาดเพลย์บอยแสนเจ้าชู้เหมือนสมญานามของพระเอกหนุ่มได้หรือเปล่า? คนถูกถามกวาดสายตาคิดเล็กน้อยแล้วให้คำตอบในมุมที่คนฟังต้องอึ้ง!

“ผู้ชายกับความเจ้าชู้มันเป็นเรื่องธรรมดานะ (ยิ้ม) เราเองก็อยู่ในแก๊งเพื่อนผู้ชาย เลยเห็นเป็นเรื่องธรรมดา คือถ้ามีแฟนแล้วแฟนเจ้าชู้ ก็คงไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ค่ะ ขออย่างเดียว ถ้าคุณมีกิ๊ก อย่าให้เขามายุ่งกับฉัน โลกของใครโลกของมัน อย่าเอามารวมกัน มันห้ามไม่ได้หรอกค่ะถ้าแฟนเราจะไปมีคนอื่น คนเรา ถ้าจะไปเขาก็ไปค่ะ มันอยู่ที่จิตใต้สำนึกจริงๆ"

"ผู้ชายที่รักผู้หญิงคนเดียวและไม่นอกใจ แสดงว่าจิตใต้สำนึกผู้ชายคนนั้นเขาคิดดีค่ะ ส่วนคนที่ไปมีกิ๊ก เขาก็เป็นคนอีกแบบหนึ่ง แต่ก็เข้าใจค่ะว่าวัยรุ่นอายุ 20 กว่า ส่วนใหญ่ยังอยากสนุก แต่ถ้าแฟนจะมีกิ๊ก ขอแค่อย่าให้มีใครมาตบตีแย่งแฟนเราเลย ไม่ชอบมีเรื่องกับใครค่ะ ถ้ามีใครจะทำอะไรแบบนั้น คงบอกเขาไปว่า “อย่าตบฉัน อยากได้ เอาไปเลย” (หัวเราะเปิดเผย)”

ใจกว้างขนาดนี้ หนุ่มๆ คนไหนสนใจ อยากสมัครขอเป็นตัวเลือกของเฌอเบลล์ โปรดพิจารณาว่าตัวเองมีคุณสมบัติตรงตามนี้หรือไม่

“ไม่ค่อยมองที่หน้าตาเป็นหลักค่ะ เป็นคนชอบคนจากภายใน คนที่เขาเข้ากับเราได้ คุยกันรู้เรื่อง แล้วก็ยอมรับที่เราเป็นเรา จะเป็นคนชอบคิดอะไรแปลกๆ ไม่เหมือนคนอื่นค่ะ ก็เลยอาจจะยากที่จะเข้ากับใคร ที่ผ่านมาก็มีผู้ชายเข้ามาจีบหลายคนเหมือนกันนะ แต่พอเจอเราพูด เขาก็หนีเลย เป็นคนตรงๆ ค่ะ ถ้าไม่ชอบอะไรก็จะบอกเลย เห็นมาหลายคู่แล้วที่ยอมตามใจกัน แต่พออยู่กันไปนานๆ สุดท้ายก็เลิกกันอยู่ดี เลยไม่อยากฝืน เราก็เป็นเราแบบนี้ บ้าๆ บอๆ ใครอยากจีบก็เข้ามาจีบค่ะ ไม่ได้ห้าม” คู่สนทนาได้แต่พยักหน้าหงึกหงักกับความตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัดของเธอคนนี้

อยากหนีกลับเมืองนอก

เมื่อรู้ว่าเธอตัดสินใจดรอปเรียนและตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเทให้แก่การแสดงอย่างเต็มที่ หลายคนไม่สนับสนุน ทั้งยังตำหนิว่าควรให้ความสำคัญกับเรื่องเรียนมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่เฌอเบลล์อยากให้เข้าใจว่าตัวเองมีเหตุผลเพียงพอ

แรกเริ่มนั้นเธอเลือกลงเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหงแบบ Pre-degree ตั้งแต่ตอนยังไม่จบ ม.ปลาย กะว่าจะเรียนควบคู่ไปกับมหาวิทยาลัยที่จะสอบเข้า หวังจะได้ใบประกาศนียบัตรจากทั้งสองสถาบันในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่หลังจากโชคชะตาผลักดันให้มารับงานละครติดกันสองเรื่อง จึงทำอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ไหว ท้ายสุดก็ดรอปเรียนรามฯ แล้วเปลี่ยนเป็นนักเรียนทุนที่มหาวิทยาลัยรังสิตแทน

“ตอนแรกเรียนคณะมนุษยศาสตร์ เอกอังกฤษ ที่รามฯ ค่ะ แต่มันหนักมาก เพราะเรื่องภาษาต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและความจำเยอะมาก พอไม่เข้าเรียนบ่อยๆ ก็จะเริ่มงงละ ตามเพื่อนไม่ทัน เลยคิดว่าไม่น่าจะไหวแล้ว ก็เลยดรอปไป ตอนนี้เลยเปลี่ยนมาเรียนนิเทศฯ ภาพยนตร์ที่ ม.รังสิตค่ะ น่าจะลงตัวเรื่องเวลามากกว่า"

"หนูยอมรับค่ะว่าตัวเองไม่สามารถทำทั้งสองอย่างให้ดีได้พร้อมๆ กัน จะให้เรียนดี การแสดงดีไปด้วย มันยากมาก ก็เลยเลือกที่จะเต็มที่ไปอย่างเดียวก่อนดีกว่า เราไม่คิดว่าจะทิ้งการเรียนแน่นอนอยู่แล้วค่ะ ถึงตอนนี้ทำงานอยู่ก็ถือเป็นการเรียนรู้ไปในตัวด้วย ทุกอย่างคือการเรียนรู้อยู่แล้วค่ะ แค่ตอนนี้อยากเรียนรู้งานในวงการให้ดีที่สุดตามที่เซ็นสัญญาไว้ 5 ปี หมดสัญญาเมื่อไหร่ อาจจะกลับไปเรียนต่อที่เมืองนอกก็ได้ค่ะ”

ถึงแม้จะเกิดที่เชียงใหม่ แต่ด้วยความที่ไปโตในเบลเยียม จึงทำให้เธอเคยชินกับสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมตะวันตกมากกว่า โดยเฉพาะวิถีชีวิตแบบช้าๆ เย็นๆ ที่นู่นที่ชวนให้นางเอกสาวถวิลหา อยากกลับไปใช้ชีวิตอีกสักที

“คิดถึงสังคมที่นู่น อยากกลับไปเรียนค่ะ คิดถึงอากาศ สภาพแวดล้อม แล้วก็ธรรมชาติ เป็นคนชอบอยู่ในป่าในเขา ชอบเดินเล่น เก็บเห็ด เก็บผลไม้ ชอบอยู่แบบชาวไร่ชาวนา อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบสมถะค่ะ (ยิ้มบางๆ) เมื่อก่อนบ้านที่อยู่ที่นู่นจะเป็นฟาร์ม ก็เลยมีชีวิตอยู่กับสัตว์กับธรรมชาติ อยู่กับคุณลุงคุณป้าข้างบ้านตลอด พาเราไปเข้าโบสถ์ด้วย เรียกว่าโตมาแบบฝรั่งเลยค่ะ"

"แล้วคุณแม่หนูก็เป็นคนตรงๆ ขวานผ่าซากอยู่แล้ว เป็นคนไทยที่ไม่เหมือนคนไทย แม่เป็นคนเดียวที่นอกคอกจากครอบครัว คิดไม่เหมือนพี่น้องคนไทยด้วยกัน ความคิดส่วนใหญ่เราเลยเป็นแบบฝรั่ง แค่เรามาเรียนรู้วัฒนธรรมไทย มารยาทความเป็นไทย แต่ถึงตอนนี้ความนึกคิดก็ยังไม่เปลี่ยนเลยค่ะ ถึงจะกลับมาอยู่นานมากแล้ว ตั้งแต่ตอน 11 ขวบได้”

สาเหตุที่เธอและครอบครัวต้องย้ายกลับมาเมืองไทย เป็นเพราะธุรกิจค้าเพชรของทางบ้านถูกโกงจนต้องปิดกิจการไป เหลือเพียงเงินจำนวนหนึ่งช่วยให้พอตั้งตัวได้ จึงกลับมาสานต่อกิจการท่องเที่ยวขนาดกะทัดรัดในไทย กระทั่งลงหลักปักฐานจนถึงปัจจุบัน ในช่วงแรกนั้นเฌอเบลล์ยังคงปรับตัวไม่ทัน เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายอยากกลับเบลเยียม จนถึงทุกวันนี้ โตแล้ว ไม่เป็นเด็กสาวขี้แยอีกต่อไป แต่ก็ยังแอบรู้สึกลึกๆ ในใจว่าความคิดแบบไทยๆ ไม่ค่อยเหมาะกับตัวตนของเธอเท่าใดนัก

“ถ้าเป็นความคิดแบบตะวันตก เวลามีเรื่องไม่พอใจกัน ต่างคนก็จะต่างพูดเหตุผลของตัวเอง อย่างเรากับคุณแม่จะใส่กันเต็มที่เลย พอจบก็แยกกันไปอยู่คนละมุม ต่างคนต่างคิด พอเย็นลงก็กลับมาคุยแล้วจูนกันใหม่ แต่ถ้าเป็นคนไทยทำแบบนี้ไม่ได้นะ ถ้าบอกเหตุผลเราไป เขาก็จะหาว่าเราเถียง คนไทยไม่ชอบให้แสดงเหตุผลกันตรงๆ จะหาว่าเถียงตลอด แล้วยิ่งมาทำงานในวงการ ยิ่งปรับตัวแทบไม่ทันเลยค่ะ ชีวิตมันตรงข้ามกับที่เคยอยู่ที่นู่นมากๆ ดูวุ่นวาย เยอะแยะไปหมดเลย จากปกติเป็นคนไม่แต่งตัวเยอะ พอมาทำงานแบบนี้ก็ต้องแต่งตัวแต่งหน้าออกจากบ้านตลอด ทุกอย่างเข้ามารวดเร็วมาก รับไม่ได้ ปรับตัวไม่ทันจนต้องหนีไปบวชอยู่ช่วงหนึ่งเลยค่ะ”

จะเอายังไงกับฉัน!?!

ถึงขั้นหนีไปบวชขนาดนี้ ฟังจากน้ำเสียง ดูจากแววตาของคนเล่าแล้ว ฟันธงได้เลยว่าเรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดา ต้องมีมูลเหตุจูงใจที่ใหญ่กว่าเรื่องเรียนและสภาพความอึดอัดที่เกริ่นให้ฟังเพียงเล็กน้อยแน่ๆ และดูเหมือนว่าคำถามนี้จะแทงใจดำนางเอกสาวตาโตคนนี้อย่างจังจนต้องระบายออกมาแบบหมดเปลือก

“ใช่ค่ะ พอมาทำงานอย่างนี้ก็โดนห้ามทุกอย่างไปหมด ต้องอย่างนู้นอย่างนี้อย่างนั้น จากชีวิตของคนชิลๆ ไม่ต้องคิดมาก จะไปไหนมาไหนกับเพื่อนก็ได้ ไม่เคยต้องมานั่งเครียด แล้วเรามีแต่เพื่อนผู้ชายด้วย แต่ก่อนก็เดินกอดคอกันได้สบายๆ วะเว้ยกันไป แต่พอมาตอนนี้ก็ทำไม่ได้แล้ว"

"จะชวนเพื่อนมาเที่ยวที่ห้องก็ไม่ได้ เดี๋ยวถูกหาว่าชวนผู้ชายขึ้นห้อง จะไปหาเพื่อนที่ห้องก็ไม่ได้อีก เดี๋ยวเฮ้ย! บุกไปหาผู้ชายถึงห้อง เพื่อนเราก็มีแต่ผู้ชาย ไม่งั้นก็เป็นทอมไปเลย ถ้าจะไปกับเพื่อนทอม เดี๋ยวก็โดนเมาท์อีกว่าเป็นผู้หญิงกินเพศเดียวกัน (ส่ายหน้าแบบขอไปที) จะนัดกันเจอข้างนอกก็ไม่เป็นส่วนตัวอีก แล้วจะให้ฉันทำยังไง (เน้นปลายเสียง) จะให้ขึ้นรถคุยกันเลยไหม ไม่รู้จะทำตัวยังไงแล้วเนี่ย ไม่มีพื้นที่ของตัวเองแล้วค่ะ”

“เคยนัดเพื่อนออกไปกินข้าวข้างนอกก็มีคนจำได้ เข้ามาขอถ่ายรูป พอจะคุยอะไรกันก็เลยต้องคอยระวัง พอกลับถึงห้อง จอดรถคุยกับเพื่อนหน้าคอนโด เพราะให้เพื่อนขึ้นห้องไม่ได้ พอคุยนาน ยามก็มาเคาะประตูเลย แล้วก็มองแบบจับผิด พอคุณแม่มาหาเรา เขาก็ไปฟ้องแม่ว่าเรามีผู้ชายมาส่งตลอดเลย ไม่ซ้ำหน้าด้วย หนูก็... (ถอนหายใจ) คุณแม่รู้จักเพื่อนเราทุกคนอยู่แล้ว แม่เขาเข้าใจมากๆ เลยค่ะ ได้แต่พูดกับเราว่าสงสารลูกจัง” น้ำเสียงของเธอบ่งบอกให้รู้ถึงอาการ “เซ็ง” อย่างชัดเจน

ในทางกลับกัน ถ้าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในสังคมตะวันตก เธอคงไม่ต้องมานั่งเซ็งชีวิตอย่างทุกวันนี้ “มันไม่มีใครมานั่งสนใจหรอกว่าคุณจะขึ้นห้องกี่คน เขาไม่ได้คิดอะไรด้วยซ้ำ ถ้าเราบอกว่าเพื่อน เขาก็จะเชื่อแบบนั้น แต่ถ้าเป็นคนไทย พอบอกว่าเพื่อน ก็จะกลายเป็น “เพื่อนจริงๆ เหรอ เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อหรือเปล่า” (หน้าตาเอือมระอา) รู้สึกว่ามันอะไรกันนักหนาเนี่ย พอตอบตรงๆ ก็หาว่าเราโกหก แล้วถ้ามีใครโกหก พอคนมารู้ความจริงทีหลัง คนนั้นก็ถูกด่าอีกว่าโกหกทำไม บางทีก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดคนไทยค่ะ ตกลงจะเอายังไงกันแน่!?!”

ที่ทำให้เธอดูหัวเสียกับเรื่องนี้มากกว่าคนอื่นๆ เป็นเพราะเพิ่งมีเหตุการณ์สะเทือนใจเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง คือเพื่อนสนิทในกลุ่มคนหนึ่งเสียชีวิตโดยที่เธอไม่มีโอกาสได้พบปะเห็นหน้า ไม่มีโอกาสแม้ได้พูดคุยร่ำลาในวาระสุดท้ายของชีวิต จึงทำให้เฌอเบลล์รู้สึกผิดมากๆ ที่เคยแคร์ว่าสังคมจะครหาอย่างไร มากกว่าจะให้ความสำคัญกับคนที่เรียกว่าเพื่อน ถึงตอนนี้เธอจึงเลือกที่จะไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว

“พอมาทำงานในวงการ พอเพื่อนนัดเจอกัน เราก็ไปไม่ได้ แล้วเป็นคนไม่ชอบคุยโทรศัพท์ด้วย ชอบเจอตัวแล้วคุยกันมากกว่า ล่าสุดเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเพิ่งเสียที่ต่างประเทศ เขามาไทย เราก็ไม่ได้เจอเขา พอเขากลับไปแล้วพยาธิขึ้นสมองเสียชีวิต เราก็ไม่ได้ไปอีก รู้สึกผิดมาก ตอนเขาโทร.มาจากโรงพยาบาล ก่อนเขาเสีย เขาก็โทร.มาคุยกับเรา แฟนเขากำลังจะยื่นโทรศัพท์ให้ แต่เขาเสียก่อน แล้วเราได้ยินทุกเหตุการณ์เลย... (นิ่งไปพักหนึ่ง) รู้สึกแย่มากเลยค่ะ”

“ทำให้มีความคิดต่อต้านขึ้นมาเลยตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นว่าต่อไปเราจะไม่แคร์อีกแล้ว ต่อไปฉันจะเลือกเพื่อนก่อน เลือกคนที่สำคัญในชีวิตมาก่อน จะเป็นข่าวเสียหายยังไงก็ช่างมัน ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด เพื่อนก็คือเพื่อน เพื่อนอยากจะมาคุยเล่นที่ห้องก็มาเลย ใครจะว่ายังไงก็ช่าง อยากให้ทุกคนเข้าใจค่ะว่าเรายังมีความเป็นเด็ก ยังติดเกม ติดการ์ตูน ยังติดเพื่อน แค่การที่เรากลัวคนอื่นว่าเขาจะมองยังไง แล้วเราต้องหยุดทุกอย่างที่เคยทำให้มีความสุขเลยเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นไม่เอาดีกว่า”

ยิ่งพูดก็ดูเหมือนถ้อยคำจากปากของเธอจะยิ่งแรงขึ้นๆ จนเป็นประเด็นร้อนขึ้นเรื่อยๆ เฌอเบลล์ได้แต่พยักหน้ารับแล้วบอกอีกว่าเคยถูกผู้ใหญ่เตือนเรื่อง “ความแรง” ของตัวเองมาหลายครั้งแล้ว บอกให้รู้จักพูดอ้อมๆ บ้าง ไม่ต้องตอบตรงใจมากจนเกินไปก็ได้ แต่เธอก็ยังยืนยันว่า

“หนูก็เป็นของหนูอย่างนี้ ใครจะเกลียดก็เกลียด หนูไม่สน ถือว่ายังไงก็มีสัญญาแค่ 5 ปี จากนั้นก็จบกัน ทุกวันนี้แค่อยากมาทำงาน อยากให้ความบันเทิงกับคุณ แต่ถ้าคุณจะเอารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตของเรามาคอยห้าม มาทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ มันก็คงไม่ใช่ ทุกวันนี้ผู้จัดการหนูเองยังกลัวเลยค่ะ กลัวว่าเราจะไม่ต่อสัญญาหรือจู่ๆ ก็หายไปไม่ยอมทำงานให้ ด้วยความที่เราเป็นคนอย่างนี้” แม้แต่ทีมงานที่กำลังฟังอยู่ ยังกลัวใจของเธอเลย

ไม่กลัวเสียภาพนางเอก

ระเบิดความคิดออกมาตรงๆ ขนาดนี้ ไม่กลัวเสียภาพสวยๆ ของนางเอกบ้างหรือ? โดนคำถามนี้เข้าไป สาวแกร่งก็ยังไม่สะทกสะท้าน ได้แต่ยิ้มเนือยๆ แล้วตอบว่า “ก็เป็นเพราะมันเลยจุดระเบิดมาแล้วไงคะ ทุกวันนี้เลยกลายเป็นว่าฉันไม่ฟังแล้ว อะไรที่ทำแล้วสบายใจ ฉันก็ทำ ไม่แคร์แล้ว ใครถามอะไรมาก็ตอบตรงๆ ตามความจริง ใครจะด่าก็ด่าไป และยังจะทำต่อไป เพราะมันคือความสุขของฉัน นอกนั้นไม่สนแล้วค่ะ”

“ทุกวันนี้เรามาทำงาน เรามีความสุขในหน้าที่การงานนะคะ แต่อาจจะไม่สนุกกับชีวิตที่ต้องมานั่งเฟคหรือเป็นข่าว หนูคิดว่าถ้าเราทำตัวดี ทำอย่างที่เราเป็น อย่างที่เรามีความสุข อย่างน้อยถ้าเป็นข่าวขึ้นมา เราก็อาจจะแย่ประมาณหนึ่งที่ถูกเขียนถึงในแง่ลบๆ ทั้งที่มันไม่เป็นความจริง แต่มันก็ยังดีกว่าต้องทนทำในสิ่งที่ไม่มีความสุขไปตลอด แล้วดีไม่ดีก็ถูกเขียนถึงแง่ลบๆ เหมือนเดิม หนูเป็นคนที่พูดตรงๆ อยู่แล้วค่ะ ถ้าทำก็บอกว่าทำ ถือว่าเราได้พูดความจริงแล้ว ส่วนคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็อีกเรื่องหนึ่ง”

ดื้อตั้งแต่เพิ่งเข้าวงการแบบนี้ พูดตรงๆ ว่าถ้ายังไม่ดังจริงๆ เห็นทีว่าคงเติบโตได้ยาก ผู้ใหญ่หลายท่านคงขอถอยหลังไปตั้งหลัก สนับสนุนเด็กรุ่นใหม่หัวอ่อนคนอื่นมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นเฌอเบลล์ก็ยังยืนยันความคิดตัวเองเหมือนเดิม อยากให้เข้าใจว่าดาราก็แค่อาชีพหนึ่งเท่านั้นเอง และเธอก็เตรียมใจในความไม่แน่นอนของอาชีพนี้เอาไว้แล้วด้วย

“เข้าใจนะคะว่าคนส่วนใหญ่มองอาชีพนี้ให้เป็นตัวอย่างของประชาชน แล้วตัวเราเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรให้เสียหาย แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นดาราแล้ว เราต้องสูญเสียชีวิตทั้งหมดของเราไป ขอให้หลงเหลือพื้นที่เล็กๆ ของตัวเองไว้บ้างก็ยังดีค่ะ รู้ว่าพูดแบบนี้ออกไปคนอาจจะมองว่าเราแข็งเกิน ตรงเกิน ดูแล้วไม่ดี"

"ถามว่ากลัวเสียภาพนางเอกไหม หนูว่าชีวิตนี้มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกค่ะ ตอนนี้เราเป็นนางเอก ไม่รู้เมื่อไหร่จะกลายเป็นนางร้าย หรือบางคนเป็นนางร้ายอยู่ ไม่รู้ว่าจะได้เล่นเป็นนางเอกเมื่อไหร่ แล้วนางเอกเองก็ไม่รู้จะได้เล่นบทแม่เมื่อไหร่เหมือนกัน หนูเลยไม่ได้แคร์เรื่องแบบนี้ อยากให้ดูกันที่ความสามารถ ดูจากงานแสดงดีกว่าค่ะ เพราะเราเองก็ไม่อยากเอาชีวิตส่วนตัว เอาความเป็นตัวเรามาขายอยู่แล้ว”

เช่นเดียวกับที่เธอไม่เคยหยิบเรื่องราวในชีวิตมาทำให้เป็นเรื่องดราม่าหรือสร้างเป็นประเด็นเรียกเรตติงจากความสงสาร เพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็นแม้แต่นิดเดียว

“จริงๆ แล้วเราไม่ใช่ลูกครึ่งค่ะ แต่เป็นคนไทยแท้ๆ คุณแม่คนไทย คุณพ่อก็คนไทย แต่ที่ชื่อเฌอเบลล์เพราะพ่อบุญธรรมเป็นชาวเบลเยียมค่ะ ตอนแรกเราไม่รู้ด้วยนะ คิดว่าเขาเป็นพ่อแท้ๆ ของเรา เพิ่งมารู้ตอนมีเพื่อนเดินมาบอก เขาไปได้ยินมาจากพ่อแม่เขา แล้วก็มาพยายามล้อเรา" "แรกๆ เราก็เถียงเขา บอกไม่เชื่อ พอกลับมาถามที่บ้าน คุณพ่อคุณแม่ก็ยังไม่กล้าบอกค่ะ กลัวหนูจะช็อก แต่พอเขาบอก กลายเป็นว่าหนูกลับไม่รู้สึกอะไร คิดว่าแล้วไงล่ะ พ่อคนนี้ก็พ่อของเรานี่นา เห็นพ่อคนนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่เห็นเป็นอะไรเลย คิดว่าถ้าเราหยิบมาคิดว่าเป็นปม มันก็จะเป็นค่ะ แต่ถ้ามองว่ามันไม่ใช่ปัญหา ทุกเรื่องก็แก้ไขได้สบายๆ มันอยู่ที่มุมมองค่ะ”...ชัดเจน เฉียบคม ตรงไปตรงมาแบบนี้ ช่างเหมาะกับคำว่า “นางเอกยุคใหม่” เสียจริงๆ

แม่สาวเท้าไฟ

ถ้าโชคชะตาไม่พัดพาให้มาเป็นนางเอกละคร เธอคงได้กลายเป็นแดนเซอร์สาวเท้าไฟไปแล้ว ด้วยความที่รักการเต้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เคยเป็นนักเต้นตามโรงแรมและงานอีเวนต์ในภูเก็ตตั้งแต่เมื่อ 3-4 ปีที่แล้วด้วย ทั้งต้องออกแบบท่าเต้นกันเอง คิดโชว์เอง เรียกว่ามืออาชีพจัดเต็มเลยทีเดียว

“เริ่มจากตอนแรกๆ ที่เต้นเล่นๆ กับเพื่อน แล้วก็ไปประกวดเต้น ทางโรงเรียนสอนเต้นเห็นแล้วสนใจ ก็เลยติดต่อให้ไปเรียนฟรี แล้วก็เป็นนักเต้นให้เขา เวลามีงานเขาก็จะเอาเราไปโชว์ ตั้งอายุ 15 ได้ พอมีจัดอีเวนต์ทีหนึ่ง เราก็ถูกจ้างไปเต้นทีหนึ่ง อย่างเวลามีงานถนนคนเดิน เราก็มีไปเต้นกลางถนน ต้องคิดว่าจะทำยังไงให้คนที่เดินอยู่หยุดมาดูเราให้ได้ คือต้องคิดโชว์ให้เขาด้วยแล้วก็เต้นด้วยค่ะ เป็นการเอนเตอร์เทนแบบไม่มีคำพูด มีแค่เพลงกับท่าเต้นแค่นั้นเอง”

รักการเต้นถึงขนาดเคยมีความคิดอยากเป็นครูสอนเต้น ไปพร้อมๆ กับทำงานดีไซน์ไปด้วย “ชอบวาดรูป ชอบงานประดิดประดอยทุกอย่างเลย ประตูบ้านพังยังไปนั่งซ่อมเองเลย (หัวเราะ) ผู้หญิงที่ไหนเขาทำกัน อยู่ว่างๆ ก็ชอบนั่งทำนู่นทำนี่ตกแต่งห้องไปเรื่อย ของขวัญที่จะให้เพื่อนก็ไม่ค่อยไปซื้อ ทำมือให้ตลอดค่ะ เคยคิดว่าอยากทำงานดีไซน์ไปด้วย รับจ๊อบสอนเต้นไปด้วย เราชอบอยู่กับศิลปะค่ะ เป็นพวกอารมณ์ส่วนตัวสูง” สาวตาคมหัวเราะขี้เล่นปิดท้าย


ศัลยกรรมแล้วไง

จะมีดาราสักกี่คนที่ออกมายอมรับว่าตัวเองทำศัลยกรรม ถ้ายังนึกไม่ออกก็มีเธอคนนี้นี่แหละที่ทำ แถมยังยืดอกพูดแบบไม่เม้ม เจาะให้รู้ลึกถึงรายละเอียดกันไปเลย

“ฉีดฟิลเลอร์ค่ะ เติมตรงปลายจมูกที่มันหักไปนิดหนึ่ง พูดตรงๆ ว่าถ้าไม่เข้าวงการ ไม่ต้องใช้หน้าตาทำมาหากินก็คงไม่ทำค่ะ แต่นี่เข้ากล้องแล้วเห็นชัดมากจนโดนทัก เลยต้องไปแก้ไขให้เรียบร้อยค่ะ ถามว่าทำไมกล้าบอก ก็ไม่รู้จะปกปิดว่าไม่ได้ทำไปทำไมเหมือนกัน เห็นคนที่เขาไม่ยอมรับ สุดท้ายก็โดนแฉอยู่ดี แล้วก็โดนประจานหนักเลย คิดในใจว่าไม่รู้จะโกหกไปเพื่ออะไร ในเมื่อโกหกไปแล้วผลออกมาเป็นแบบนี้ แล้วการบอกความจริงมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรเลย เป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำไปค่ะสำหรับคนในวงการ บางคนตาตี่ ไปทำตาสองชั้น ก็เข้าใจเขานะ ในการแสดงมันต้องสื่อความรู้สึกจากสายตา”

“ไปดัดฟันเปลี่ยนโครงหน้ามาด้วยค่ะ ร้านเดียวกันกับที่พี่เอ (ศุภชัย) ชอบพาเด็กในสังกัดไปทำ หนูไปทำมาตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้วค่ะ ถ้าลองไปดูเอ็มวีตัวแรก เพลง “ต่อให้เธอจะลืม” ตอนนั้นยังอมเหล็กอยู่เลยค่ะ (ยิ้ม) มันเริ่มจากเรามีปัญหาเรื่องฟันคุด พี่ที่รู้จักเขาเลยแนะนำว่าไหนๆ ก็จะดัดฟันแล้ว ก็ดัดเปลี่ยนโครงหน้าไปด้วยเลย ก็เลยทำดู ปรากฏว่าทรมานมากค่ะ ดึงกรามจนรู้สึกร้าวไปทั้งหน้าเลย รู้สึกเลยว่ามันเปลี่ยนโครงหน้าจริงๆ แต่ต้องไปให้ถูกที่นะ ไม่งั้นไม่รับประกัน” เธอเผยความหลังแบบไม่งุบงิบ


ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล: เฌอเบลล์-ลัลณ์ลลิน เตจะสา เวศซ์
วันเกิด: 28 ก.พ.2535
ส่วนสูง: 168 ซม.
น้ำหนัก: 46 กก.
การศึกษา: นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะมนุษยศาสตร์ เอกอังกฤษ มหาวิทยาลัยรามคำแหง (อยู่ในช่วงพักการเรียน), นักศึกษา (ทุนนักแสดง) คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ความสามารถพิเศษ : เต้น, วาดรูป, ออกแบบตกแต่ง
ผลงาน: มิวสิกวิดีโอเพลง “ต่อให้เธอจะลืม” ของ นัททิว, “Lovely Girl” ของ สิงโต เดอะสตาร์, แขกรับเชิญในคอนเสิร์ต “Love ไม่กลัว กลัวไม่ Love” ของ บี้ เดอะสตาร์, ละครเรื่อง “ลิขิตฟ้าชะตาดิน” และล่าสุดเรื่อง “ดอกโศก”