Inside Dara
‘นก-สินจัย’ ไม่หลงระเริงกับชื่อเสียง

หากให้จัดอันดับนักแสดงหญิงแถวหน้าของเมืองไทย แน่นอนว่าต้องมีชื่อ นก-สินจัย เปล่งพานิช ติดโผอยู่แน่นอน เธอคนนี้โลดแล่นในวงการบันเทิงมากว่า 30 ปี มีผลงานหลากหลาย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นบทบาทไหนก็สามารถถ่ายทอดออกมาได้สมจริง นอกจากนี้เธอยังถือเป็นต้นแบบในการวางตัวและการทำงานอย่างมืออาชีพ วันนี้ “เพชรน้ำหนึ่ง” เลยต้องขอเคล็ดลับในการรักษาชื่อเสียงให้เป็นที่ยอมรับจนถึงทุกวันนี้ เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับนักแสดงรุ่นหลังต่อไป

นก กล่าวว่า “การเป็นนักแสดงที่ดีเราต้องใส่ใจทั้งเบื้องหลังและเบื้องหน้าของการทำงาน เบื้องหลังเราต้องดูแลตัวเองในทุก ๆ เรื่องไม่ว่าจะเป็นสุขภาพร่างกาย รูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ เพราะเราต้องใช้สิ่งเหล่านี้ในการทำงาน ส่วนเบื้องหน้าต้องคอยดูในเรื่องของผลงานของเราว่าเป็นยังไงบ้าง หม่อมน้อย(ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล) ครูทางด้านการแสดงของนกเคยพูดไว้ว่าการแสดงคือการสวมบทบาท เราต้องเชื่อในตัวละคร เคยมีครั้งหนึ่งที่นกต้องเล่นเป็นเด็กอายุ 16 ทั้งที่ตอนนั้นนก 30 กว่าแล้วนะ ฉะนั้นเราต้องมีความเชื่อ เชื่อว่าเราเป็นอะไรก็ได้ ตอนเริ่มต้นมันอาจจะยากหน่อย แต่พอเราเล่นไปเรื่อย ๆ และค่อย ๆ พัฒนาทุกอย่างมันจะเข้าเนื้อไปเอง ยิ่งถ้าเราทำให้ตัวละครนั้นมีชีวิตขึ้นมา ทำให้คนดูเชื่อและมีความรู้สึกร่วมไปกับเราได้ นั่นถือว่ามันคือความสำเร็จ เป็นเหมือนใบรับรองคุณภาพการทำงาน รายละเอียดต่าง ๆ มันเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราเดินมาได้จนถึงทุกวันนี้”

“ในส่วนของการถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครแต่ละบทบาทก็จะแตกต่างกันไป แต่จะเน้นหนักไปทางดราม่าที่มันต้องเน้นอารมณ์ความรู้สึกจากข้างในเพื่อถ่ายทอดออกมาให้คนดูรับรู้ ซึ่งละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ และละครเวทีมันมีวิธีการถ่ายทอดที่แตกต่างกันไป ละครโทรทัศน์เราไม่ต้องแสดงออกชัดเจนมาก เพราะถ้าเราอินมากเกินไป คนดูก็จะเครียดไปกับมัน ส่วนภาพยนตร์ด้วยความที่จอมันกว้างแค่เรากะพริบตาหน่อยเดียวมันก็รู้สึกได้ อารมณ์ข้างในมีเยอะแต่ไม่ต้องเอาออกมาเยอะ ส่วนละครเวทีอันนี้นอกจากอารมณ์ข้างในจะต้องเยอะแล้ว ยังต้องแสดงออกมาเยอะด้วย แค่เราก้มหน้าเสียใจ ก็ต้องถ่ายทอดออกมาให้คนดูที่เขานั่งอยู่ชั้น 2 ของโรงละครรู้สึกร่วมไปกับเรา ซึ่งก่อนที่จะถ่ายทอดอารมณ์ต่าง ๆ ออกมาสิ่งสำคัญเลยคือเราต้องมีอารมณ์ร่วมไปกับมันด้วย แล้วทุกอย่างก็จะออกมาเอง”

“ในการรักษาชื่อเสียงให้อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ นกใช้หลักการประมาณตน ระมัดระวังในการใช้ชีวิต รู้ว่าอะไรควรไม่ควร วัดคุณภาพกันที่ผลงานมากกว่าหน้าตาหรือชื่อเสียงดีกว่า แน่นอนว่าอาชีพนักแสดงสิ่งที่มาคู่กันคือชื่อเสียง ยิ่งโด่งดังหรือมีคนนิยมชมชอบมากเท่าไหร่ เรายิ่งต้องมีสติมากเท่านั้น นกโชคดีตรงที่ไม่ได้โด่งดังเพียงชั่วข้ามคืน กว่าจะมายืนตรงนี้ได้ผ่านร้อนผ่านหนาว เจอความลำบากมาก่อน ทำงานมีทั้งประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ มันก็เป็นเครื่องเตือนใจเราตลอดเวลาว่าอาชีพนี้มันคือความไม่แน่นอน และเป็นต้นทุนที่ทำให้เราแข็งแรง มันต่างจากเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ที่ทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็ดังแล้ว บางทีเขาขาดการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องพวกนี้ เขาก็อาจจะคิดว่าเขาดังแล้ว งานมีเข้ามาล้นมือ จะทำอะไรคนก็นิยมชมชอบไปหมด มันอาจจะทำให้เขาขาดภูมิต้านทานตรงนี้ แล้วพอวันหนึ่งที่เขาตกลงมาก็จะทำให้เขาบาดเจ็บ จริง ๆ จะโทษเด็กก็ไม่ได้ เราในฐานะผู้ใหญ่ในวงการก็ต้องช่วยกันสอน แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความใส่ใจของเด็กด้วย และตัวเด็กเองก็ต้องถามตัวเองว่าอยู่ในวงการนี้แบบไหน ถ้าอยากอยู่แบบมีคุณภาพก็ต้องรักและภูมิใจในอาชีพ ต้องดูแลตัวเอง อย่าหลงระเริงไปกับสิ่งฉาบฉวย ทุกอย่างมีขึ้นมีลง วันนี้คุณอาจจะโด่งดัง แต่พรุ่งนี้ก็สามารถมีคนใหม่ขึ้นมาแทนที่คุณได้ นกว่าเราควรจะสนใจคุณภาพการทำงานของเราเหนือสิ่งอื่นใด เพราะมันจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราอยู่ในวงการนี้ได้นานที่สุด”

“หากเปรียบนกเป็นดั่งเพชรน้ำหนึ่งในวงการนั้น สำหรับตัวนกมองว่าเพชรมันอาจจะดูแข็งแรง มีคุณค่า ที่ไม่มีใครมาเทียบได้ นกขอเปรียบตัวเองเป็นพลอยเนื้ออ่อนที่แข็งแรง ซึ่งมันดูดี มันก็มีคุณค่าไม่ต่างกัน แต่มันอยู่ที่การให้ราคาของคนมากกว่า นกเปรียบนักแสดงเหมือนน้ำที่ไม่ว่าจะเอาใส่แก้วเจียระไนหรือใส่ในขวดพลาสติกมันก็ยังมีค่า อยู่ที่ว่าเราพอใจกับตรงไหนมากกว่า คนในวงการที่เป็นเพชรประดับวงการจริง ๆ มีอยู่ 2 คนคือ คุณ ส. อาสนจินดา และป้าจุ๊-จุรี โอศิริ ท่านเป็นนักแสดงจนวินาทีสุดท้าย ท่านภูมิใจในความเป็นนักแสดงของตัวเอง และเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่คนในวงการ ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ท่านจะไม่อยู่แล้วแต่ท่านก็ยังเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเราได้”