Inside Dara
ย้อนรอย 'ฟิล์ม เสี่ยอู๊ด'"ตอนพี่อู๊ดตายไปแล้ว ฟิล์มจะรู้คุณค่าสิ่งที่พี่เคยช่วย"

เกือบๆ 10 ปีกับเรื่องราวที่พันผูกกันของนักร้องหนุ่ม ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ และ เสี่ยอู๊ด สิทธิกร บุญฉิม ผู้ล่วงลับ จนกลายเป็นข่าวบนหน้าสื่อมากมายทั้งร้ายและดี จนน่าเห็นใจทั้งคู่

ตลอดเกือบ 1 ทศวรรษที่ผ่านมาอาจถือได้ว่าเรื่องราวของเขาทั้งคู่เป็นตำนานบทหนึ่งของวงการข่าวบันเทิงไทย วันนี้ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ขอพาไปย้อนรอยตำนานบทนี้กัน...

เม.ย.2549

เกิดกระแสทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ ในทุกหน้าหนังสือพิมพ์ กรณี เสี่ยพระเครื่องชื่อดัง สิทธิกร บุญฉิม หรือที่ทุกคนรู้จักกันดีในชื่อ เสี่ยอู๊ด มีข่าวพัวพันกับนักร้องหนุ่มชื่อดัง ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ โดยเฉพาะประเด็น เสี่ยอู๊ด ช่วยเหลือ ฟิล์ม เรื่องเงินทอง ฟิล์ม แถลงข่าวยอมรับว่ารู้จักเพราะ เสี่ยอู๊ด จ้างไปเล่นคอนเสิร์ตที่ระยอง ส่วนเรื่องการช่วยเหลือเรื่องเงิน 7-8 ล้าน ตามที่มีการกล่าวอ้าง ฟิล์ม เผยว่า

"7-8 ล้านคงไม่ขนาดนั้น ตอนที่พี่เขาช่วยตอนนั้นผมลำบากมาก ผมเพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ ทางครอบครัวผมค่อนข้างมีหนี้สินเยอะ แล้วพอดีตอนนั้นบ้านผมประสบปัญหาบ้านถูกยึดพี่เค้าเลยยื่นมาเข้ามาช่วย จำนวนเงินตรงตามที่เค้าพูดหมดเลย" ส่วนเรื่องรถมินิคูเปอร์ที่มีข่าวว่า เสี่ยอู๊ด ซื้อให้ ฟิล์ม ยืนยันว่าแค่ไปปรึกษาว่าอยากได้รถ ไม่เคยเอ่ยปากขอแน่นอน

“ผมไม่เคยลืมบุญคุณนะครับ ทุกวันนี้ผมก็ยังจำว่าพี่เขามีบุญคุณแล้วผมก็อยากขอบคุณเขามาก ที่มีบุญคุณกับครอบครัวผมกับผม แต่ถ้ามาบอกว่าผมลืมบุญคุณหรือเปล่า คงไม่ถึงขั้นนั้น"

"ตอนนั้นมันถึงวิกฤติพอดี ปัญหาต่างๆ ที่ครอบครัวทำมามันรุมเร้า ในฐานะเป็นลูกชายก็ออกมารับปัญหาแทน ไม่มีเรื่องชู้สาว ไม่มีเลย ถ้าให้สรุปความสัมพันธ์ พี่เขาเป็นพี่ที่มีบุญคุณ เป็นพี่ที่นับถือเสมอ"

"ผมเคยปฏิเสธสิ่งที่พี่เค้าให้ แต่พี่เค้าบอกว่าอยากช่วยจริงๆ ผมเห็นว่าเค้าปรารถนาดีอยากช่วยจริงๆ ตอนนั้นผมยังเด็ก จะปฏิเสธเลยก็คงไม่ได้ครับ" (ผู้จัดการรายวัน, 21 เม.ย. 2549)

ฟิล์มหลั่งน้ำตาตอนแถลงข่าวเรื่องเสี่ยอู๊ด

เสี่ยอู๊ด แถลงข่าวกรณี ฟิล์ม

21 เม.ย.2549

อีก 1 วันให้หลัง เสี่ยอู๊ด แถลงข่าวทันที หลังจาก ฟิล์ม เปิดใจไปแล้ว เรื่องรถ เสี่ยอู๊ด กล่าวว่า "พูดไปก็เหมือนผมโกหก ผมจะรู้ได้ไงว่าฟิล์มอยากได้รถมินิออสติน เรื่องรถตอนที่เขาอยากได้ เทียวไล้เทียวขื่อเช้าถึงเย็นถึง"

พร้อมเผยว่า "ที่ผ่านมาอาจเป็นแค่ความโกรธ แต่พอฟังที่มีการแถลงเมื่อวานแล้วกลายเป็นความเกลียด"

"เรื่องบ้านที่เขาบอกว่าผมไปช่วยเขาเอง ความจริงแรกๆ ผมไปให้คำปรึกษากับพ่อแม่เขา หลังจากนั้นพ่อเขาหาใครช่วยไม่ได้ พร้อมทั้ง เสี่ยอู๊ด กล่าวทิ้งท้ายว่า "การกระทำวันนี้อาจเป็นเพราะเขาขาดวิจารณญาณที่ดีอยู่ เชื่อว่าวันหน้าหากเขาเจอเหตุการณ์ที่คับขัน ถึงที่สุดอีก เขาอาจจะระลึกถึงผมอีกก็ได้ อาจมาขอความช่วยเหลือและตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที" (ผู้จัดการออนไลน์,21 เม.ย. 2549)

จากนั้นข่าวคราวของ เสี่ยอู๊ด และ ฟิล์ม รัฐภูมิ ก็ปรากฏในหน้าสื่อบันเทิงอยู่พักใหญ่ก่อนจะค่อยๆ เงียบหายไป

แต่แล้วในปี 2551 ศาลตัดสินจำคุก เสี่ยอู๊ด สิทธิกร บุญฉิม ฐานฉ้อโกงประชาชน โดยให้คืนเงินกว่า 4 ล้าน ฐานใช้และเลียนแบบเครื่องหมายราชการโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมจำคุก 5 ปี

ก.ย.2553

เสี่ยอู๊ด ส่งจดหมายจากเรือนจำ ถึงสื่อมวลชน เนื้อหาทวงคืนบ้านที่อ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของตนที่ให้ ฟิล์ม ไป เพื่อยกให้บุตรชายของนักแสดงสาวคนหนึ่งที่ตกเป็นข่าวกับ ฟิล์ม "ผมอยากจะขอร้องให้ฟิล์มยกกรรมสิทธิ์บ้านที่ผมเคยยกให้ฟิล์มให้เด็กไป" (คม ชัด ลึก, 23 ก.ย.2553)

มิ.ย.2556

ติดคุกรับโทษมานาน 5 ปี ในที่สุด มิ.ย.2556 เสี่ยอู๊ด ก็พ้นโทษ และเปิดใจสั้นๆ ว่า "จากนี้ต่อไปตนเองจะยึดหลักความดี นำความถูกต้อง และจะไม่ทำให้ใครต้องมาเดือดร้อนร่วมกับตนเองอีก" (ไทยรัฐออนไลน์, 20 มิ.ย. 2556)

หลังพ้นโทษ เสี่ยอู๊ด ได้เดินทางไปทำบุญถวายภัตตาหารเพลพระภิกษุ 9 รูปที่วัดแห่งหนึ่งที่ จ.ระยอง พร้อมเผยกับผู้สื่อข่าวว่าตนเป็นคนไม่มีบ้านมีแต่วัด บ้านของตนเป็นบ้านที่ฟิล์ม รัฐภูมิอยู่ แต่ฟิล์มไม่เคยไปเยี่ยมเลยตอนที่อยู่ในคุก (ไทยรัฐออนไลน์, 21 มิ.ย.2556)

ก.ค.2556

หลังจาก เสี่ยอู๊ด พ้นโทษก็มีกระแสข่าวออกมาว่าเจ้าตัวเตรียมทวงคืนบ้านที่อ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์ตนจาก ฟิล์ม ซึ่งนักร้องหนุ่มชื่อดังกล่าวถึงข่าวนี้ว่า ไม่ขอออกความเห็นเรื่องนี้ บ้านนั้นเป็นบ้านของตนตั้งแต่เกิด คิดว่าเขาไม่มีสิทธิ์อะไรในเรื่องนี้ (ผู้จัดการออนไลน์, 15 ก.ค.2556)

จากนั้น เสี่ยอู๊ด ก็เปิดเผยเรื่องนี้กับ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ว่าไม่เคยคิดทวงคืนบ้าน

"พี่ให้ด้วยความสงสาร กลัวฟิล์มจะไม่มีที่อยู่เพราะกำลังจะโด่งดัง พี่โอนยกบ้านให้แล้วก็ดีใจที่ช่วยฟิล์มและพ่อแม่ให้พ้นทุกข์จากหนี้สิน พี่ยกบ้านให้อยู่กันแล้วพี่ไม่เคยขอคืนเลย และพี่ก็ไม่เคยได้รับคืนจากฟิล์มด้วย ทุกอย่าง รถ บ้าน และเงินทองของมีค่าพี่ให้แล้วให้เลย เพราะตอนนั้นพี่ให้เพื่อช่วยฟิล์มในยามที่ยากจน ถ้าเป็นวันนี้ฟิล์มรวยแล้ว พี่คงไม่ต้องให้และฟิล์มก็คงไม่มาขอด้วย

เสี่ยอู๊ด กล่าวต่อว่า การให้แล้วต้องให้เลย ยิ่งให้เพราะสงสารวันนั้น ถึงวันนี้พี่ก็ยังสงสารฟิล์มและพ่อแม่อยู่ ถึงตอนนี้พี่ก็ดีใจที่ฟิล์มตั้งหลักปักฐานได้แล้ว เมื่อปี 49 ที่พี่ต้องพูดเรื่องบ้านที่ยกให้ฟิล์มนั้น เป็นเพราะพี่ต้องการแก้ต่างคำพูดฟิล์มที่บอกว่าไม่เคยรู้จักพี่ ไม่เคยขอความช่วยเหลือจากพี่ พี่ทำไปเพื่ออยากให้ฟิล์มยืนอยู่บนความจริงและความดี ซึ่งสุดท้ายฟิล์มก็แถลงข่าวยอมรับว่าเคยขอความช่วยเหลือจากพี่ไป มาทุกวันนี้นึกย้อนดูพี่ไม่ควรพูดเลยเพราะมันทำให้ฟิล์มอับอาย เรื่องนี้แม้จะผ่านมาแล้วพี่ต้องขอโทษฟิล์มด้วยครับ

อย่างน้อยพี่ก็ภูมิใจที่ทำให้ฟิล์มพ้นทุกข์เมื่อปี 48 และทำให้ครอบครัวฟิล์มได้มีบ้านอยู่อย่างมีความสุข สิ่งนี้พี่ถือว่าเป็นสาระที่ดีเพราะฟิล์มได้รับสิ่งที่ดี แต่ฟิล์มต้องแก้ข่าวเพื่อปกป้องชื่อเสียงสร้างภาพลักษณ์พี่ก็เข้าใจครับ ถ้าสังคมจะด่าว่าพี่ชั่วก็ขอให้เขาด่าพี่คนเดียว ฟิล์มอย่าพูดหรือทำไม่ดีกับพี่เลย พี่กลัวคนจะว่าฟิล์มไม่ดี ตอนนี้ฟิล์มจะเกลียดพี่ก็เป็นปกติ

ไว้อนาคตตอนฟิล์มเดือดร้อนจนหาใครช่วยไม่ได้อีกครั้ง หรือ ตอนพี่อู๊ดตายไปแล้ว ฟิล์มจะรู้ว่าสิ่งที่พี่เคยช่วยฟิล์มไว้มันมีคุณค่ามากน้อยแค่ไหน"

"สรุปเรื่องบ้านของฟิล์มไม่ต้องมาคืน เพราะพี่อู๊ดไม่เคยทวงคืน พี่ให้แล้วให้เลย ให้เป็นสมบัติติดตัวฟิล์มไปนะ ถ้าเกลียดพี่ไม่อยากได้บ้านเก็บไว้ฟิล์มก็ขาย แล้วเอาเงินไปบริจาคสร้างโรงเรียนสักหลัง พี่อู๊ดก็ดีใจแล้วครับ"

เสี่ยอู๊ด กล่าวอีกว่า "ในที่สุดนี้พี่อู๊ดขอให้ฟิล์มคิด พูด ทำ แต่เรื่องที่ดีและถูกต้อง และด้วยบุญกุศลที่พี่สร้าง ทั้งหมดทั้งปวง ขอผลบุญจงทำให้ฟิล์มได้พบได้รับแต่สิ่งที่ดีๆ ในชีวิต จะได้เลี้ยงพ่อแม่และพี่ชายให้มีความสุขสวัสดี และมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดไปนะครับ" (ไทยรัฐออนไลน์, 19 ก.ค. 2556)

30 ต.ค.2558

ข่าวช็อก เมื่อพบศพ เสี่ยอู๊ดฆ่าตัวตาย โดยตามข่าวระบุว่า เขาทิ้งจดหมายระบายความในใจและระบุลายเซ็น พร้อมลงวันที่เป็นวันออกพรรษา ปี 2558 27 ตุลาคม 2558 (ไทยรัฐออนไลน์, 30 ต.ค. 2558)

1 พ.ย.2558

ฟิล์ม ให้สัมภาษณ์ถึงการเสียชีวิตของ เสี่ยอู๊ด ว่า ตกใจที่ทราบการเสียชีวิต "ผมไม่ได้ยินเอง พี่ๆ นักข่าวโทรมาถามกันเต็มไป เมื่อผู้สื่อข่าวถาม ฟิล์ม ว่าในฐานะที่เคยมีข่าวด้วยกันพอได้ยินมีใจหายบ้างหรือไม่ "ก็งง คนมาถามผมซะส่วนใหญ่ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้เกี่ยวกับผมแล้วผมก็ไม่ใช่ญาติ แค่นี้จบ ก็แค่คนรู้จักกันเฉยๆ ก็เสียใจแค่นั้นเองครับ" (ไทยรัฐออนไลน์, 1 พ.ย. 2558).