Inside Dara
‘ท็อป จรณ’ หนุ่มเจ้าเสน่ห์ รับผมเป็นคนเจ้าชู้....!
“ย้อนวัย เจ้ารังสิมันต์”ขอย้อนวัยกันหน่อย ตอนเด็ก ๆ ท็อปเป็นเด็กยังไง?

“ตอนเด็กผมเป็นคนขี้อายมาก เด็กหลังห้องครับ คือการไปพูดหน้าชั้น หรือว่าต้องไปพูดหรือทำอะไรต่อหน้าคนเยอะ ๆ ผมจะไม่เอาเลย เขินมาก นอกจากจะอยู่ในกลุ่มเพื่อนเยอะ ๆ เราจะมีความมั่นใจขึ้นมาหน่อยแต่ไม่ใช่หัวโจกนะครับ แต่วีรกรรมตอนเด็กแสบเหมือนกัน (หัวเราะ) แต่เรื่องเรียนก็ไม่ได้ทิ้งนะครับ เวลาเรียนก็เรียน แต่ถ้าอยู่กับเพื่อนก็นิดหนึ่งตามประสาเด็กผู้ชาย”

แล้วจีบสาวตั้งแต่เด็กมั้ยเนี่ย?

“ก็มีครับ (หัวเราะ) ตอน ม.1 ป๊อปปี้เลิฟครับคือก็จีบเพื่อนในโรงเรียนนั่นแหละครับ เขาจะเป็นเด็กเรียน ตั้งใจเรียน เขาน่ารักเวลาคุย เขามีเสน่ห์ คือสเปกจริง ๆ ชอบขาว ๆ ตัวเล็ก ๆ แต่ตอนเด็ก ๆ จะเป็นคนแพ้ผมสวย เห็นผมสวยมาเนี่ยเอาไปเลยครึ่งใจ (หัวเราะ) แต่พอโตมาผู้หญิงเดี๋ยวนี้น้อยคนที่จะไม่ม้วนผม รีดผม ประเด็นนี้เลยตกไปหน่อย แต่ก็ยังชอบอยู่นะ ผู้หญิงขาว ตัวเล็ก ๆ ผมสวย”

“เจ้าเสน่ห์”

ท็อปเจ้าชู้ไหมเนี่ย? “เจ้าชู้ครับ คือถึงผมจะมีแฟน แต่เวลาเจอคนสวยผมก็มองนะ ถึงเขาจะมาคุยก็คุย แต่ก็ไม่ได้อะไรด้วยนะ เพราะว่าแฟนเราก็ต้องเป็นที่ 1 ของเรา แต่มันก็จะมีแบบ อุ๊ย...คนนี้น่ารัก (หัวเราะ) แต่ผมจะไม่เดินเข้าไปขอเบอร์อะไรนะ ผมไม่ใช่คนอย่างนั้น แต่ถ้ามันเป็นจังหวะที่ได้คุยกันก็คุย (หัวเราะ) คือถ้าผมชอบใครผมจะเขินมาก ไม่กล้าเข้าไปคุย เจอจะทำอะไรไม่ถูก จะเขินมาก ถ้าเขารู้ว่าชอบเราก็จบเลย (หัวเราะ)”

แล้วตอนนี้มีแฟนแล้วหรือยัง?

“ตอนนี้ไม่มีแฟนครับ ไม่ใช่ว่าเข้ามาวงการแล้วเลิกนะครับ แต่ว่าช่วงที่เราเริ่มเข้ามาทำงานตรงนี้ เขาก็ทำงานเหมือนกัน มันไม่มีเวลาที่ตรงกันเลย หนัก ๆ เข้ามันก็เริ่มห่าง เริ่มไม่เจอ เขาก็คงรับไม่ได้ ก็เลยห่าง ๆ กันไปเลยครับ คือจริง ๆ ที่ผ่านมาผมก็โดนทิ้งตลอดนะ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะว่าทำไม”

เคยมานั่งคิดไหมว่าทำไมเราโดนทิ้ง?

“ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ผมคิดว่าอาจจะมีบ้างที่เอาแต่ใจตัวเอง แต่ก็ไม่เยอะนะ (หัวเราะ) ส่วนมากเราจะตามใจเขามากกว่า แต่คิดว่าอาจจะเป็นเพราะว่าผมโลกส่วนตัวสูง ผมจะไม่ใช่คนที่โทรฯหาบ่อย ๆ จิ๊จ๊ะ ไม่สวีทอะไรมากมาย ไม่ใส่ใจบ้าง ผมเป็นคนที่แบบไม่โชว์ ก็รู้ว่าไม่จำเป็นต้องโชว์ใครมากมาย คือเราไปด้วยกัน คนก็รู้แล้วว่าเราเป็นแฟนกัน ไม่จำเป็นต้องถ่ายรูปคู่ลงอินสตาแกรมอะไรประมาณนี้ เขาคงรับไม่ได้ (หัวเราะ) คือตรงนี้อาจจะทำให้เขาน้อยใจ ว่าทำไมไม่ทำแบบโน้น แบบนี้ คือผมไม่โรแมนติกมากมาย”

“ทหาร”
แล้วตอนเด็ก ๆ เราอยากเป็นอะไร หรือว่าชอบวงการบันเทิงมาแต่เด็ก?

“ไม่เลยครับ เรื่องวงการบันเทิงไม่เคยคิดเลย ตอนเด็กอยากเป็นทหารเหมือนพ่อ อยากเป็นนักบิน ทหารบก”

แล้วทำไมไม่สมัครไปเลย?

“ก็เรียน ร.ด. ครับ ก็ไปฝึกไปเรียน แต่มีวันหนึ่งผมไปเรียน แล้วผมไม่สบาย ก็มีแบบสั่งโดนให้ไปซ่อม ไปตากแดด ไปวิ่ง ซึ่งผมไม่สบายจริง ๆ ก็คิดว่าแล้วทำไมต้องมาทำแบบนี้ รู้สึกมันไม่แฟร์ แล้วต้องไปทำตามคำสั่งตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่เราไม่ผิด ก็เราไม่สบายเราผิดตรงไหน ตอนนั้นนะ ล้มเลิกความคิดเลย ก็ไปบอกพ่อ แม่ เลยว่าไม่เป็นแล้วนะทหาร ก็เล่าให้เขาฟัง แล้วอีกเหตุผลหนึ่งนะครับ มันปัญญาอ่อนมาก คือไม่อยากตัดผมสั้น (หัวเราะ) คือสมัยก่อนมันเรื่องใหญ่นะ สำหรับเด็ก ต้องตัดผมหัวเกรียนเลย ผมก็แบบไม่หล่ออะไรแบบนี้ (หัวเราะ) แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัย ก็ไว้ผมยาวเลย แบบเก็บกดมา แล้วสุดท้ายก็รู้แล้วว่า ผมยาวก็ไม่ได้ทำให้เราดูดีเลย (หัวเราะ) ผมสั้นดีที่สุด แล้วตอนไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็เปลี่ยนแผนไปเรียนวิศวะ ที่ลาดกระบัง”

“รางวัล”
ตอนนี้ถือว่าชีวิตเราเหมือนฝันไหม?

“ไม่หรอกครับ เราก็ทำงานของเราให้ดีที่สุด แต่ก็ดีใจนะครับที่มีแต่คนให้การตอบรับที่ดี แต่ฝันผมจริง ๆ ผมอยากได้รางวัลสักรางวัลหนึ่ง จากสักสถาบันหนึ่ง คือมันเหมือนกำลังใจ และอีกอย่างผมรู้สึกว่าผมโชคดี ที่มีบทหลากหลายเข้ามาให้เลือก และมาเร็วมาก แต่มันมีทั้งดีและไม่ดี ในแง่ดีคือมีโอกาสเข้ามา ส่วนแง่ไม่ดี เราอาจจะไม่ได้เต็มที่กับมัน คือถ้าหลายเรื่องมาก ๆ เราอาจจะลงรายละเอียดกับมันได้ไม่เยอะมาก ไม่มีเวลาทำการบ้านกับมันเยอะมาก”

กลัวตัวเองจะเหลิงไหม?

“กลัวเหมือนกันนะครับ แต่โชคดีที่มีผู้จัดการคอยเตือน มีพี่ที่รู้จักคอยเตือน และอีกอย่างเราก็มีตัวอย่างให้เห็นเยอะ อย่างพี่นก (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) พี่แดง (ธัญญา วชิรบรรจง) คอยสอนคอยบอกตลอด ผมว่าคำชมที่เข้ามาตรงนั้นอาจจะทำให้เราตัวลอย อย่างคำชมเข้ามาว่า เราเล่นดี เล่นน่ารัก แต่โชคดีที่ว่า เราเล่นเองเรารู้ว่าเรายังไม่ชอบซีนนั้น ยังไม่ดีพอ เอ๊ะทำไมเล่นไม่ได้ ในฉากที่คนอื่นเขาชมว่าดี แต่เรารู้ตัวเองว่าเราเล่นไม่ดี เราก็นอยด์มากกับฉากนั้น แต่ก็เก็บไปพัฒนาในฉากต่อไป”

“ไฟส่องหน้า”
ก่อนเข้ามาทำงานในวงการนี้ กับตอนนี้ ท็อปว่ามันต่างกันไหม?

“คือก่อนหน้านี้มันก็เหมือนกับว่าเรานั่งอยู่ แล้วก็เจอคนที่เดินผ่านไปผ่านมา แต่พองานเราออกไป เริ่มมีคนเห็นเราก็เหมือนมีแสงฉายมาที่ตัวเรา คนก็เห็นเรามากขึ้น รู้จักเรามากขึ้น คนเข้าหาเราเยอะขึ้น วิธีการก็แล้วแต่กันไป พอคนชื่นชมเยอะ ตัวมันก็ลอยง่าย ทำให้เรารู้สึกว่าเราพิเศษง่าย มันทำให้เรารู้สึกว่า เราต้องได้รับอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่น ผมก็พยายามบอกตัวเองนะ และอีกอย่างด้วยหลาย ๆ อย่างมันก็จะมีข้อแม้ของมันเองเข้ามาอีก มันก็ต้องทำให้เราคิดหนักขึ้นมาอีก”

กดดันมั้ย ที่ละครประสบความสำเร็จ แล้วเรื่องต่อไปถูกคาดหวังมากขึ้น?

“กดดันครับ ด้วยเรื่องนี้ประสบความสำเร็จมาก ก็กดดันมาก ๆ ว่าเรื่องต่อไปจะได้ดีไม่เท่า แต่ด้วยบทละครอะไรหลาย ๆ อย่าง เรื่องนี้มันเลยทำให้ขึ้นมาหมดทุกคน พี่อ๊อฟก็เป็นผู้กำกับที่เก่งมาก ๆ และองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างด้วย แต่ผมก็ทำใจไว้เลยครับ ว่าคงไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะประสบความสำเร็จ มันคงไม่มีทางที่เราเล่นทุกเรื่องจะมีคนชื่นชอบทุกเรื่อง”

ละครเรื่องต่อไปใช้คำว่าพระเอกแล้ว เป็นยังไงบ้างกับคำนี้?

“เหนื่อยนะครับ มันหนัก มันกดดัน คำว่าพระเอกมันมีแรงกดดันอะไรไม่รู้แหละ ที่เราจะต้องแบกมันเอาไว้ เข้าใจบอม (ธนิน มนูญศิลป์) เลย มันมีทุกซีน แล้วมันพลาดยากมาก ต้องแบกทั้งเรื่องเอาไว้ แต่เรายังไม่ขนาดบอม เพราะในซิกเซ้นส์ เราเป็นหนึ่งใน 5 พระเอก ก็ยังไม่หนักเท่าบอม แต่มันก็ยากเหลือเกินกับคำว่าพระเอก อย่างในซิกเซ้นส์ มันก็มีอะไรให้เราเล่นเยอะมาก ผมยอมรับว่ายากที่สุดแล้วสำหรับละครเรื่องนี้ มันมีหลายอารมณ์มาก ๆ ยังไงต้องรอดูกันนะครับ”

สมใจเหล่าบรรดาแฟนคลับกันไปแล้วนะคะ สำหรับเสาร์นี้ ส่วนเสาร์หน้าแน่นอนว่า เรายังเดินหน้าหาหนุ่ม ๆ หน้าใส วัยฮิป มานำเสนออีกแน่นอน แต่จะเป็นใครนั้น ต้องติดตามกันนะจ๊ะ.