Inside Dara
สวมบทพังสุดในชีวิต "ชมพู่ อารายา" กับหนัง "Long Live Love! ลอง ลีฟ เลิฟว์"

คว้าซุปตาร์ตัวแม่ตัวมัม สุดเป๊ะ "ชมพู่ อารายา เอฮาร์เก็ต” มาสวมร่าง “เมตตา” ลุคที่พังที่สุดในชีวิตของ “ชมพู่” กับเรื่องราวความรัก ความสัมพันธ์และครอบครัว ในหนังรักรสชาติใหม่สุดทัชใจเรื่อง “Long Live Love! ลอง ลีฟ เลิฟว์” ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของ “มุก–ปิยะกานต์ บุตรประเสริฐ” ค่าย M PICTURES ร่วมกับ บริษัท แอม ว่ะฮาฮา ที่ “ชมพู่–อารยา” จับคู่ปะทะกับตัวพ่อ “ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์”

ความรักกระท่อนกระแท่นของสามีภรรยา สติ สองร่าง (ซันนี่) และ เมตตา เมื่อทั้งคู่กำลังจะแยกทางจบปัญหาชีวิตคู่ที่เรื้อรัง โชคชะตาก็เล่นตลก สติ ประสบอุบัติเหตุตื่นขึ้นมาในสภาพไร้ความทรงจำ โดยมีการถ่ายรูป Now& Then ที่สามารถนำเค้ากลับเข้าไปในเหตุการณ์อดีตของรูปถ่ายใบนั้นได้ สติ ได้กลับไปเผชิญสิ่งที่เคยทำไว้กับเมตตา และ นะโม ลูกสาวที่เกลียดเค้าเข้าไส้ สติจะกอบกู้ความรักในครอบครัวได้หรือไม่ เมตตาจะให้อภัยเริ่มต้นใหม่อีกครั้งได้อย่างไร

ยกทัพร่วมด้วยทีมนักแสดง อาทิ ปีเตอร์-นพชัย, ป๋อมแป๋ม-นิติ, นนท์-ศดานนท์, ตู้-ดิเรก รวมถึงนักแสดงรุ่นใหม่ “เบคกี้–รีเบคก้า” กับบท นะโม ลูกสาว ตัวแสบสร้างสีสัน พร้อมเข้าฉาย 29 มิ.ย. ในโรงภาพยนตร์

อยู่วงการบันเทิงทำมาหมด แต่ไม่เคย “พัง” ขนาดนี้ “ชมพู่” ขอเล่าว่า “เป็นเรื่องแรกเลยค่ะที่ปรับลุคชมให้ดูพังมาก เยินมาก เค้าลงราย ละเอียดมากนะ อย่างเล็บ มันก็จะมีเค้าโครงว่าเคยทำเล็บตลอดแต่ตอนนี้ดูถลอกๆ ถ้าพูดเรื่องของคอสตูม เมตตาก็เป็นคนเคยมีสไตล์ เคยเปรี้ยวเหมือนกันนะ แต่ตอนนี้พังๆ โทรมๆเหมือนคนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ส้นเท้าแตก ผมดัดไว้ น้ำยาหมดแต่ก็ไม่ได้ทำต่อ มีเติมฝ้าด้วยอะไรอย่างนี้ ถามว่าได้เห็นตัวเองอีกมุมนึงแบบนี้แล้วเป็นยังไง เอาจริงๆ ตัวเราวันพังๆอยู่บ้านมันก็มีนะ ไม่ใช่ไม่มีเลย แต่คนอาจจะไม่ค่อยเห็น แต่ในช่วงวัยนี้ที่เรามีครอบครัว มีลูกแล้ว ก็มีบางวันที่เราปล่อยจอยให้ตัวเองพังบ้างเหมือนกัน”

ห่างจากการแสดงไปนาน หนังเรื่องนี้มีอะไร ทำไมถึงดึงดูดใจให้ชมพู่รับเล่น “ชมพู่” เผย “ด้วยวัย เราค่อนข้างจะหาบทที่เรารู้สึกท้าทายยากอยู่แล้ว พอทางพี่มุก ผู้กำกับ ติดต่อมาแล้วลองคุย สิ่งที่รับรู้ได้จากวันแรกที่คุยก็คือเค้าเหมือนเห็นอะไรในตัวเราจริงๆ แล้วพอมาอ่านดูมันก็มีความน่าสนใจ บทมันเหมาะกับนักแสดงรุ่นเรา อายุอย่างเราที่ผ่านอะไรมาเยอะ แต่ในขณะเดียวกันกลับมีบางอย่างที่รู้สึกห่างไกลเหลือเกินแบบว่ามันจะได้เหรอ?! มันมีความท้าทายบางอย่างในตัวบท เช่น เราทำอะไรมาทั้งชีวิตตั้งแต่เข้าวงการแต่ไม่เคยได้รับบทที่เราพัง พ่ายแพ้ขนาดนี้ ทุกครั้งที่มีโอกาสได้เวิร์กช็อปหรือได้คุยกับแอ็กติ้งโค้ชเราจะรู้สึกว่าข้อที่เรายังเอาชนะไม่ได้ในเรื่องของการแสดงก็คือทุกครั้งที่เราต้องล้ม ต้องพังจริงๆ เหมือนตัวละครมันจะไม่ยอมไป เวลาเราอ่านบทแล้วเราเห็นว่าตัวละครกำลังเสียเปรียบ หรือมีตัวร้ายจะไม่อยากอ่าน แต่พอมาเรื่องนี้ มันยิ่งกว่าแพ้ มันโคตรพังเลย มันปล่อยให้ตัวเองมาอยู่จุดนี้ได้ยังไง (หัวเราะ) ก็เลยรู้สึกว่ามันชาเลนจ์ ดีนะ แต่ประสบการณ์ชีวิตเราก็ผ่านมาถึงจุดหนึ่งที่เราเข้าใจได้ว่าทำไมถึงพัง เพราะความรัก เพราะความเสียสละที่เราอยากจะทำให้ครอบครัวไปต่อได้

สาวสตรองของจริง ลอยตัวเหนือดราม่า อย่าง “ชมพู่” ที่ตัวตนจริงๆคือนักสู้ ไม่ยอมพ่าย ต้องปรับตัวยังไงให้เข้าถึงบท “ชมพู่” ขอปล่อยใจจอยๆ “เรื่องนี้ด้วยความที่ว่าชมห่างการแสดงไปมากและชมไม่ได้มีตารางการทำงานที่แบบต่อวันเหมือนเมื่อก่อน แต่ละวันที่มากอง มาอ่านบท ชมเลยมาตัวเปล่า เป็นแก้วเปล่ามาเลย ชมมองตรงนี้เป็นข้อได้เปรียบของการกลับมาครั้งนี้ เหมือนมันปล่อยไปกับตรงนั้นจริงๆ มันเลยซึมซับการเป็นตัวละครได้เต็มที่”

แล้วอะไรที่หล่อหลอมให้ “ชมพู่–อารยา” แกร่งและสตรองถึงวันนี้ ส่วนหนึ่งชมพู่บอกว่า ก็ได้จากคุณแม่ ดูทรงแล้วยายเป็นคนคล้ายๆเราที่ไม่ค่อยรับเอเนอร์จีลบ รวมทั้งประสบการณ์ งานในวงการก็สอนเรา แน่นอนตอนเรามาแรกๆเราก็จิตอ่อน อ่อนไหว บอบบางกว่านี้ บางทีใครเขียนใครพูดถึงเราไม่ดี เราก็เสียใจ ก็มีบ้าง แต่พอโตมาเราก็ผ่านมาได้และไม่ได้บอบบางแบบนั้น คิดว่าคุณน็อต-วิศรุต ก็เป็นอีกคนนึงที่ทำให้ชมมองอะไรตามข้อเท็จจริง ไม่เอาอะไรมาคิดเอง เวลาที่เรามีเรื่องอะไรที่มันคาใจหรือนอยด์จากข้างนอก แล้วเราได้มาแชร์ให้เค้าฟัง เค้าจะมีมุมมองที่ทำให้เราโยนประเด็นนั้นทิ้งไปเลย ไม่เก็บมาให้รกสมอง มีวิธีพูดให้เราเข้าใจว่ามันไม่มีผลอะไรกับเราเลย

ความเป็น “เมตตา” กับ “ชมพู่” แตกต่างสุดขั้ว แต่มีสิ่งที่ซิงก์กัน ชมพู่ตอบชัดเจน คงเป็นเรื่องความอุทิศตัว ทุ่มเทให้ครอบครัวน่าจะชัดเจนที่สุด และเป็นสิ่งที่ทำให้เราเชื่อมกับตัวละครได้ง่าย โอเค เราอาจจะไม่ได้นั่งเก้าอี้ตัวเดียวกันกับเมตตา แต่เราเข้าใจคอนเซปต์ที่ว่า พอเรามาเป็นภรรยา เป็นแม่ พอมันมีครอบครัว มันต้องรับอะไรบ้าง

ทั้งที่ยังเป็น “ตัวแม่” ในวงการบันเทิง ตั้งแต่มีครอบครัว จนถึงวันนี้ ชมพู่ เลือกบาลานซ์งานชีวิตกับงาน ยกให้ “ลูก” เป็นอันดับหนึ่ง ความเป็นอยู่ที่ดีเป็นอันดับสอง และเรื่องงานรองลงมา ชมเผยว่า ช่วงเวลาที่เติบโตของลูกสำคัญ บางทีไปเมืองนอก 5-6 วัน กลับมาบางทียังรู้สึกว่าเค้าโตขึ้น เพราะช่วงเวลาวัยเด็กที่ลูกกำลังเติบโตนั้นเป็นวัยแห่งการมอบความรักและเรียนรู้สิ่งต่างๆ เมื่อโตขึ้นในวันที่เขาต้องตัดสินใจทำอะไร อย่างน้อย ลูกจะมีภูมิคุ้มกันจากความรักของพ่อแม่

ส่วนเรื่องงานก็บาลานซ์ได้ดี ช่วงนี้อาจจะรับงานน้อยลง ถ้าช่วงไหนที่ทำงานด้วย พาร์ตของการดูแลตัวเองก็อาจจะน้อยลงไปแต่ก็จะรีบกลับมาซ่อมให้ได้ เรื่องการเลี้ยงลูกทั้ง 3 คน จริงๆก็เลี้ยงให้เค้าเติบโตไปด้วยกัน เป็นลักษณะอิมโพรไวซ์ไป และดูเค้าไปเรื่อยๆ ถ้ามันมีอะไรที่ยังไม่เหมาะไม่ใช่ หรือคิดว่าเค้ายังเข้าใจผิดในเรื่องไหนก็ค่อยๆชี้นำเค้า และที่สำคัญอยากให้เป็นตัวเองมากที่สุด เอาตัวของเค้าออกมาทั้งเรื่องธรรมชาติ ศักยภาพ และความถนัดต่างๆของเค้า

ชีวิตจริงใครๆก็ต่างยกให้ “ชมพู่–อารยา” ทำทุกหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งความเป็นแม่ ดูแลลูกๆทั้งคู่แฝดพี่ชาย “สายฟ้า–พายุ” และน้องสาวคนเล็กแก้วตาดวงใจ “น้องแอบิเกล” เติบโตอย่างเป็นธรรมชาติและสดใส รวมทั้งหน้าที่ภรรยาคนสวยของ “น็อต–วิศรุต รังษีสิงห์พิพัฒน์” ที่ชื่นชมว่า “ชมพู่” เป็นแม่ของลูกแบบไม่มีที่ติ ทั้งยังเผยคนที่แคร์ที่สุดในชีวิตคือ “ชมพู่” ทุกสิ่งที่สร้างมาทั้งหมดก็เพื่อภรรยาและลูกๆ ชีวิตคู่กับ น็อต–วิศรุต มาถึงวันนี้

ชมพู่ เผยเราทั้งคู่รู้ว่าเรากำลังทำหน้าที่อะไร เพื่อใคร เราเองก็รับพาร์ตของลูกเป็นหลัก ส่วนพ่อก็ออกไปจับปลา หาปลา ทำหน้าที่เลี้ยงดูแลครอบครัว ส่วนการประคับประคองเติมความรัก บ้านเราอาจจะไม่ได้มีเดตไนต์ออกไปกันสองคนแบบเป๊ะๆ ส่วนใหญ่ไปไหนก็ไปกันหมด ชมมองว่าความรัก ณ วันนี้ เป็นความสุขอันเรียบง่าย แค่ในวันนึงเราเห็นลูก 3 คนนอนเรียงๆกัน ชมหันหน้ามามองกับคุณน็อตแล้วรู้กันว่า “นี่ลูกของเราจริงๆ เนอะ” เท่านี้ก็มี ความสุข แล้วจริงๆ.