Inside Dara
‘ติ๊ก-เจษฏาภรณ์’ พระเอกนอกจอตัวจริง

ทุก ๆ วันที่เราตื่นขึ้นมา อย่าคิดว่าเราจะได้อะไรจากใคร เราให้เขาก่อนดีกว่า เพราะถ้าเราให้แล้ว เราจะรู้สึกสบายใจ แล้ววันหนึ่งสิ่งต่าง ๆ ที่เราเคยให้ จะกลับมาสู่ตัวเราเอง ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

ถ้าพูดถึงนักแสดงหนุ่มที่ยึดใจสาว ๆ ได้ตลอดกาล หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของพระเอกรูปหล่อ ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี รวมอยู่ด้วย เพราะถึงแม้จะอยู่วงการมานานถึง 17 ปี แต่ดีกรีความฮอตของผู้ชายคนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง “ดาวต่างมุม” วันนี้เลยต้องขอนัดพูดคุยกับหนุ่มติ๊ก ถึงผลงานละครเรื่องใหม่ “สิงห์” หนึ่งในซีรีส์ “มาเฟียเลือดมังกร” ที่กำลังถ่ายทำอยู่ รวมไปถึงมุมมองการใช้ชีวิต และบทบาทของคุณพ่อมือใหม่ของ “น้องเต็นท์” ลูกชายวัย 7 เดือน ที่กำลังน่ารักน่าชัง

อัพเดทผลงานตอนนี้หน่อย?

“ตอนนี้ถ่ายซีรีส์ “มาเฟียเลือดมังกร” ผมอยู่ตอน “สิงห์” ครับ นางเอกคือ น้องมิว-นิษฐา ในเรื่องผมจะอยู่ใน “แก๊งเขี้ยวสิงห์” มีพ่อเป็นหัวหน้าแก๊ง เราจะมีปมความขัดแย้งกับพ่อ เพราะพ่อไม่อยากให้อยู่ในแก๊ง แต่เราไม่เข้าใจ เลยเหมือนเด็กขาดความอบอุ่น จนวันหนึ่งเรามาเจอผู้หญิงคนนี้ เหมือนกับเราได้เจอรักแท้ ในเรื่องนี้ก็จะได้เห็นผมบู๊แน่เต็มที่เลย สบายอยู่แล้ว (หัวเราะ) เหมือนย้อนไปเรื่อง “ตะวันตัดบูรพา” เรารอคอยบทแบบนี้มานานแล้ว เพราะเราก็ห่างจากละครแนวนี้ไปนาน ช่วงหลัง ๆ ได้เล่นแต่ละครแนวโรแมนติกบ้าง คอมเมดี้บ้าง ดราม่าบ้าง พอได้กลับมาแอ๊คชั่น ช่วงแรกก็มีหนืด ๆ เหมือนกันนะครับ ตึงขา ทุกอย่างตึงหมด ยกเว้นหน้าตัวเอง (หัวเราะ) ก็

ค่อย ๆ ยืด ตอนนี้ก็ดีขึ้น ความรู้สึกที่เราได้มาเล่นละครที่เป็นซีรีส์แบบนี้ ก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่กับวงการละครไทย ผมว่าคนมีความผูกพันกับละครอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นเรื่องท้าย ๆ เรตติ้งจะสูงสุด เรื่องแรก ๆ เป็นคนเรียกแขกก่อน แล้วจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่แน่ของเราอาจจะเรตติ้งดี แล้วปลาย ๆ อาจจะแผ่วก็ได้ งานแสดงตอนนี้ก็มีเรื่องนี้อยู่เรื่องเดียว แต่นี่ถือเป็นประวัติศาสตร์ของผมเลยที่เล่นละครอย่างต่อเนื่อง ปกติจะมาพร้อมบอลโลกทุกที สี่ปีที่แล้วเราเล่น “วนิดา” สี่ปีนี้มา “อย่าลืมฉัน” คนคาดว่าจะได้เห็นเราอีกสี่ปีข้างหน้า แต่ไม่ครับ เราเล่นอย่างต่อเนื่อง”

เพราะมีลูกหรือเปล่า เลยต้องทำงานมากขึ้น?

“ก็ด้วยนะครับ ค่าใช้จ่ายเยอะขึ้น ความจริงแล้วเงินเก่าที่เคยมีเงินหมด (หัวเราะ) จริง ๆ ผมเก็บเงินมาตั้งนานแล้วครับ แต่ให้คุณแม่เป็นคนเก็บ เวลาจะใช้ก็จะบอกคุณแม่ว่าให้ช่วยเบิกมาให้หน่อยได้ไหม ทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม ผมไม่ได้จัดการเงินด้วยตัวเอง ไม่ได้ไปธนาคารด้วยตัวเอง ผมทำไม่เป็น แล้วชีวิตเราไม่ได้ใช้เงินอะไรมากมาย เลยให้คุณแม่ดูแล ภรรยาผมก็ไม่ได้ว่าอะไรตรงจุดนี้ เพราะเราก็เลี้ยงดูเขา แล้วเราก็อยู่ง่ายกินง่ายอยู่แล้ว ผมจะไปหนักเรื่องอุปกรณ์ที่ถ่ายทำรายการเนวิเกเตอร์แค่นั้น แต่จะไม่ได้ใช้เงินฟุ่มเฟือยกับสิ่งของต่าง ๆ”

จาก 2499 อันธพาลครองเมือง จนมาถึงวันนี้ การทำงานของติ๊กเปลี่ยนไปไหม?

“เรื่อง 2499 อันธพาลครองเมือง เข้าฉายเมื่อปี พ.ศ. 2540 ตอนนี้ก็ 17 ปีแล้ว เวลาทำงานตอนนี้เราต้องเลือกว่าเราเหมาะกับงานเขาไหม เราสามารถทำได้หรือเปล่า เพราะถ้าเราได้เลือกแล้ว ทุก ๆ ครั้งที่เราตื่นมาเราจะอยากไปทำงาน อยากจะเป็นตัวละครตัวนั้น เราจะไม่ทรยศต่อตัวเอง จะไม่ทำงานตามใบสั่ง หรือถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำ เพราะเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกแบบนั้น งานจะเจ๊งครับ ส่วนถ้าเป็นเรื่องหน้าตาก็ตามสภาพนะครับ (หัวเราะ) ตามประสบการณ์ชีวิต เราตากแดด ตากฝนมา ไม่ได้มีอะไรที่มันสดใสเหมือนวันวาน เราไม่สามารถไปสตัฟฟ์ให้มันอยู่กับเราได้ ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ เพียงถ้าออกแดดเยอะ ๆ ก็ทากันแดด บทบาทในละครอาจจะดู รวย หล่อ เป๊ะ แต่จริง ๆ ชีวิตผมเรียบง่ายกว่าคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ”

ถามถึงเรื่องครอบครัวบ้าง ตอนนี้น้อง “เต็นท์”เป็นอย่างไร?

“ตัวแน่นเลยครับ ตอนนี้ยังดูไม่ออกว่าเขาเหมือนใคร มีส่วนที่เขาคล้ายผมบ้าง คล้ายแม่บ้าง แต่ไม่เหมือนข้างบ้านเป็นใช้ได้ (หัวเราะ) เขาก็พัฒนาไปตามสเต็ปของเด็ก เริ่มรู้เรื่องมากขึ้น เริ่มสนใจสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มากขึ้น เริ่มมีเสียงแปลก ๆ แต่ยังไม่เป็นภาษาพูดนะครับ ผมก็ช่วยทุกอย่าง อาบน้ำ แต่งตัว เปลี่ยนผ้าอ้อม อุ้มเดิน พาเข้านอน ป้อนนม คือจริง ๆ ผมเคยได้มีโอกาสเลี้ยง ตอง-ปิยะโชติ น้องชายคนเล็ก เลยพอจะนึกภาพความเป็นพ่อออกตั้งแต่ตอนนั้น ว่าพ่อต้องเหนื่อยขนาดไหน ลำบากขนาดไหน แล้วผมกับ ตั้น-พิเชษฐไชย อายุติด ๆ กัน เวลาพ่อพาไปส่งโรงเรียนก็ต้องจูงมือคนละข้าง ไปไหนก็ต้องไปพร้อมกัน แล้วไหนจะดูแลเรื่องการศึกษา อุบัติเหตุ อันตราย เพราะฉะนั้นกว่าที่เราจะโตมาได้ขนาดนี้ต้องใช้ความเอาใจใส่สูงครับ”

ทุกวันนี้แบ่งเวลายังไง?

“ปกติเลยครับ เราเป็นครอบครัว อยู่บ้านเดียวกัน มีเวลาเจอกันอยู่แล้ว เวลาเราออกไปทำงาน กลับบ้านมาก็เจอกัน บางครั้งเราอาจจะออกต่างจังหวัดบ้าง เพื่อไปถ่ายรายการ แต่ก็เป็นช่วงจังหวะหนึ่ง แต่เราคิดว่าเราก็ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ลูก ถ้าเขาโตขึ้นเราจะได้สามารถสอนเขาได้ว่าเราไปเจออะไรมาบ้าง”

กับสังคมทุกวันนี้ เรากังวลไหมว่าลูกเราจะโตมาเป็นยังไง?

“ความกังวลต้องมีอยู่แล้ว เพราะโลกใบนี้มีสิ่งต่าง ๆยั่วเย้ามากขึ้น อันตรายมากเลย แต่ในเมื่อเราต้องยืนยันอยู่บนโลกใบนี้ เราก็ต้องอยู่ให้ได้ เราต้องปลูกฝังเขาตั้งแต่เล็ก ๆ ให้เขาเห็นแบบอย่างจากเรา จากคุณแม่ของเขา และให้การศึกษา ให้การเลี้ยงดูที่ดีที่สุดกับเขา แต่ไม่ใช่ประคบประหงมนะ เราต้องให้เขาได้เรียนรู้ ได้เจอถูก เจอผิด แต่ที่สำคัญคือให้เขาเป็นคนดีของสังคม เป็นคนซื่อสัตย์ สุจริต เป็นคนมีคุณธรรม รักธรรมชาติ”

อยากให้น้องเต็นท์ มีน้องไหม?

“อยากครับ ผมรู้สึกว่าสนุกมาก แต่รอให้เขาโตกว่านี้อีกสักนิดหนึ่งค่อยว่ากัน เดี๋ยวก่อน พ่อเหนื่อยลูก (หัวเราะ)”

ไม่ค่อยมีภาพครอบครัวติ๊กออกสื่อ จริง ๆ เป็นคนหวงชีวิตส่วนตัวไหม?

“จริง ๆ ก็เปิดนะครับ เราออกไปเจอโลกภายนอก แต่การใช้ชีวิตของผมตั้งแต่ยังไม่มีครอบครัว ก็จะแยกแยะ เรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีที่เราแยกแยะ อย่างลูก เราอยากให้เขาโตขึ้นในแบบธรรมชาติของเขา ไม่ใช่รู้สึกว่าเขาคือ ลูกติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ไม่ต้องมีภาวะกดดัน หรือมีใครมาเพ่งเล็งเขา แล้วเมื่อเขาโตมาและสามารถตัดสินใจเองได้ เขาสามารถเลือกเองได้ว่าอยากทำหรือไม่อยากทำอะไร”

ติ๊กเป็นไอดอลของเด็กหลาย ๆ คน อยากให้พูดถึงชีวิตวัยรุ่นที่ผ่านมาหน่อย?

“เด็ก ๆ ผมเป็นคนเรียนดีนะ สอบเข้าโรงเรียนโยธินบูรณะ ได้ลำดับต้น ๆ เลย ได้เรียนห้องคิงด้วย ม.1-ม.3 การเรียนดี แต่พอขึ้นม.ปลาย แล้วติดเพื่อน ติดเที่ยว อยากไปลองเล่นสนุ้กดูบ้าง ลองไม่เข้าเรียนวิชานี้ดูบ้าง เลยทำให้การเรียนเราตกต่ำในบางวิชาอย่างคณิตศาสตร์ หรือฟิสิกส์ ที่เราไม่ใส่ใจ พอเราเข้ามหาวิทยาลัยวิชาต่าง ๆ เหล่านี้มันจำเป็นต้องใช้ ก็ต้องย้อนกลับไปเรียนใหม่ ซึ่งเสียเวลา เราเสียดายมาก คิดว่ารู้อย่างนี้ตั้งใจเรียนตั้งแต่ตอนนั้นดีกว่า แล้วมีบุคคลหลายท่านที่ผมอยากไปหา อยากไปเจอ จนวันหนึ่งเขาล้มหายตายจากเราไป ก็มาเสียดายทีหลัง หรืองานละครหลายอย่างที่เราพลาดโอกาส เพราะคิดว่าเดี๋ยวมันก็มีเรื่องหน้าที่บทคล้าย ๆ แบบนั้น แต่พอเวลาผ่านไป เรากลับเสียดายว่าน่าจะเล่นเรื่องนั้นตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นทุกวันนี้เมื่อโอกาสมาอยู่ข้างหน้าผม หรือคิดว่าอยากทำอะไรเราจะรีบทำเลย เพราะผมไม่อยากใช้คำนั้นอีกแล้ว ว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อีกอย่างที่ผมคิดคือทุก ๆ วันที่เราตื่นขึ้นมา อย่าคิดว่าเราได้อะไรจากใคร เราให้เขาก่อนดีกว่า เพราะถ้าเราให้แล้วเราจะรู้สึกสบายใจ แล้ววันหนึ่งสิ่งต่าง ๆ ที่เราเคยให้ จะกลับมาสู่ตัวเราเอง ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม”

ติ๊กเป็นคนไม่เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กเลย?

“ตอนแรกเลยคือเล่นไม่เป็น (หัวเราะ) ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องมือสื่อสารที่เป็นสมาร์ทโฟน โทรศัพท์ผมยังเป็นรุ่นโบราณอยู่ แค่พิมพ์ส่งข้อความก็หรูแล้ว พอ ณ วันหนึ่งที่มีสมาร์ทโฟนใช้ เราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจำเป็นต้องมีโซเชียล เพราะเราไม่รู้จะเล่าอะไรให้คนอื่นฟัง เพราะชีวิตเราไม่ได้มีอะไรหวือหวา แล้วเราไม่รู้ว่าถ้าเราเล่นแล้ว สิ่งต่าง ๆ ที่เราโพสต์จะเป็นผลดี ผลเสียกับเรายังไง ฟีดแบ็กที่กลับมาอาจจะลบหรือบวกก็ได้ เลยไม่เล่นดีกว่า ตัวคุณพีช-สิตมน ภรรยาผมก็เหมือนกันนะครับ เขาไม่เล่นเหมือนกัน อารมณ์เดียวกัน เราชอบอยู่เงียบ ๆ เป็นธรรมชาติ ให้อาหารปลา ให้อาหารหมา เพราะเป็นแบบนี้เลยไปด้วยกันได้”

สุดท้ายฝากถึงแฟน ๆ หน่อย ทุกวันนี้ขนาดมีลูกแล้ว สาว ๆ ก็ยังกรี๊ดอยู่นะ?

“ต้องบอกว่ากลุ่มแฟน ๆ ที่เราเจอค่อนข้างจะกว้างเหมือนกัน ตั้งแต่เด็กจนผู้ใหญ่ แต่จะเน้นไปทางผู้ใหญ่มากหน่อย ถ้าเจอป้า ๆ ก็จะวิ่งมาใส่ ผมรู้สึกดีใจนะที่มีคนรักเรา ถึงแม้ผลงานเราจะไม่ได้เยอะแยะมากมาย แต่คนก็ยังเฝ้าคอย และยังติดตามผลงานเราเรื่อย ๆ นอกจากงานแสดงแล้ว ก็รวมไปถึงรายการเนวิเกเตอร์ที่เราทำ ซึ่งเราก็ได้คนดูอีกกลุ่มหนึ่งที่สนใจธรรมชาติ ซึ่งวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่ได้อยู่บ้านดูทีวีกัน ผมไม่รู้ว่าจะมีอะไรที่จะใช้แทนคำว่าขอบคุณมากได้ ถ้ามีผมก็อยากจะใช้คำ ๆ นั้น ก็ขอขอบคุณมาก ๆ...จากใจจริงครับ”

นอกจากบทผู้ชายแสนดี รวย หล่อ แบบในละคร ชีวิตจริง ๆ ผู้ชายคนนี้กลับเรียบง่ายกว่าที่ใครหลาย ๆ คนคิด...