Inside Dara
พระเอกติดดินมาวินแบบเกรียนๆ ของ'บอย'ปกรณ์

หากจะพูดถึงชื่อพระเอกแถวหน้าในตอนนี้ หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของพระเอกชื่อดัง "บอย"ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ อย่างแน่นอน เพราะเวลานี้หนุ่มบอยได้รับกระแสความนิยมจากแฟนๆ ละครอย่างท่วมท้น อีกทั้งกำลังสร้างเสียงหัวเราะในผู้ชม จากละครเรื่อง "แววมยุรา" ที่กำลังออกอากาศทางช่อง 3 ในเวลานี้นั่นเอง กำลังฮอตร้อนแรง และเกรียน เอ้ย ! โด่งดังขนาดนี้ รายการ ซุปตาร์ในดวงใจ ทางแมงโก้ทีวี เลยต้องคว้าตัวหนุ่มบอยมานั่งสนทนากันหน่อย ว่าแล้วมาเปิดใจหนุ่มคนนี้กันเลย


กระแสละคร "แววมยุรา"
เสียงตอบรับจาก "แววมยุรา" เป็นอย่างไรบ้าง

ตอนนี้ออนแอร์มา 4 ตอนแล้ว กระแสค่อนข้างดี ด้วยตัวละครที่ดูสบายๆ ไม่เครียดมาก อย่างแววมยุราเวอร์ชั่นก่อนๆ อาจจะออกไปทางดราม่าด้วย เนื้อหาค่อนข้างเครียด พอมาเวอร์ชั่นนี้ทางคุณตู่ (ปิยวดี มาลีนนท์)ผู้จัดและพี่ต้น(ชานนท์ สมฤทธิ์)ผู้กำกับ วางไว้แล้วว่าอยากให้ออกมาแนวคอมเมดี้ ไม่อยากให้เครียดมาก แต่ยังมีแกนเรื่องของ แววมยุรา อยู่ด้วย


เรื่องนี้เคยโด่งดังมาแล้วในเว่อร์ชั่น "โอ" วรุต กับ "กวาง" กมลชนก กดดันไหมที่ต้องมาเล่นละครรีเมกที่เคยประสบความสำเร็จสูง

กดดันมั้ยก็มีบ้างนะ แต่ว่าเป็นความเคยชินไปแล้ว เพราะว่าละครทุกเรื่องที่เล่นมาถ้าไม่นับ 4 หัวใจแห่งขุนเขา ผมเล่นละครรีเมกหมดเลย แล้วเป็นละครที่สมัยก่อนดังๆ หมดเลย เพราะฉะนั้นถามว่ากดดันมั้ยก็มีเป็นธรรมดา ต้องโดนเปรียบเทียบเป็นธรรมดา แต่ไม่อยากให้เอาตรงนั้นมากดดันตัวเอง แล้วไม่ได้ดูของเก่าด้วย เคยดูตอนที่ละครออนแอร์ไปแล้ว แล้วกลับมาเปิดยูทูบดูนิดหน่อย แต่ว่าถ้าก่อนถ่ายนี่ไม่เคยดูเลย


การร่วมงานครั้งที่ 2 กับ มารี เบรินเนอร์ เป็นอย่างไรบ้าง

ดีนะ กับมารีนี่เป็นการทำงานเรื่องที่ 2 ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ 2 ที่ต่อเนื่องกัน คือเรื่อง แววมยุรา กับเรื่อง สามหนุ่มเนื้อทอง เปิดกล้องพร้อมกันเมื่อหลายเดือนมาก่อน แต่ด้วยความที่ตอนนั้นสามหนุ่มเนื้อทอง มีคิวออนแอร์แล้ว ต้องรีบถ่ายก็เลยได้ออกเร็ว แต่ว่าตอนนี้ แววมยุรา เพิ่งจะได้ออนแอร์ ความจริงคือถ่ายมาพร้อมๆ กัน ได้ทำงานด้วยกัน มันก็ดีตรงที่ว่าเราสองคนได้ทำงานด้วยกันเยอะ ทำให้ค่อนข้างคุ้นเคยกัน แล้วก็ทำงานด้วยกันง่ายขึ้น ตัวน้องเขาก็มีพัฒนาการในการแสดงที่ค่อนข้างโอเค ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องเสียงบ้าง แต่ว่าเรื่องของแอ็กติ้ง เรื่องของอารมณ์ผมว่าน้องทำได้ค่อนข้างดี แต่อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย คือในเรื่องของเสียง หรือว่าสำเนียงที่อาจจะพูดไม่ค่อยชัด เพราะว่าน้องเป็นลูกครึ่ง แล้วก็อาจจะเรียนอินเตอร์มาตลอด อาจจะมีพูดเหน่อหน่อย (หัวเราะ)


ฉากเลิฟซีนยังมีเกร็งหรือเขินอยู่ไหม

ไม่ค่อยมาก เพราะว่าอย่างที่บอกกับมารี เราเจอกันมาแล้วเรื่องหนึ่ง พอมาเรื่องนี้ไม่ค่อยมีเลิฟซีนแบบหวานๆ เท่าไหร่ จะเป็นเลิฟซีนในเวอร์ชั่นของจักรที่คอยเข้าไปกวนๆ นางเอก จะเป็นอารมณ์แบบขโมยหอมแก้ม ไปแบบกวนๆ ไม่ได้มีเลิฟซีนแบบจริงจัง จะเป็นเลิฟซีนที่ออกแนวคอมเมดี้ อย่างเลิฟซีนแบบมีจมูกเฉี่ยวกันนิดหนึ่ง


พระเอกป๋าดัน
ด้วยความเป็นพระเอกหนุ่มฮอตทำให้บอยกลายเป็นพระเอกป๋าดัน ดันทั้งน้องชาย "หน่อง" ธนา ดันทั้ง "มารี"

คงไม่ถึงกับเป็นป๋าดันอะไรมาก ถ้าพูดถึงกับมารีเหมือนกับว่าจังหวะ และโอกาสมากกว่าที่เราได้มาเจอกันสองเรื่องพอดี ซึ่งตรงนี้ไม่อยากให้มามองว่าผมต้องดันน้อง อยากให้มองว่าทำไปด้วยกันเป็นทีมมากกว่า ผมยังไม่ได้แข็งแรงขนาดจะได้ดันใครได้ โอเค คนอาจจะรู้จักผมมากขึ้น แต่ว่าในเรื่องของการทำงานหรือว่าในเรื่องของการแสดง ผมยังไม่แข็งแรงขนาดนั้นมีอะไรต้องแก้ไขอีกเยอะ ต้องช่วยๆ กันไป ส่วนเรื่องของหน่อง ถ้าถามว่าดันมั้ย เป็นพี่ดัน (หัวเราะ) ก็ดันเต็มที่เหมือนกัน คือน้องชายเราเนอะ (หัวเราะ) น้องใคร ใครก็รัก หน่องเป็นคนที่เริ่มมาคล้ายๆ ผม คือเขาเริ่มถ่ายโฆษณา ถ่ายเอ็มวี ถ่ายแบบมาหลายปีแล้วเหมือนกัน คล้ายๆผม จนวันหนึ่งพี่ที่ช่องเขาได้ยินมาว่าผมมีน้องชายที่ทำงานตรงนี้เหมือนกัน เขาบอกว่าลองให้เข้ามาแคสติ้งดูมั้ย ตรงนี้ผมยินดีอยู่แล้ว ในเมื่อเขามาทางนี้เราก็สนับสนุนเขา แล้วเขาก็ชอบด้วย


ถ้าวันหนึ่งหน่องดังกว่าล่ะ

ผมไม่ได้ซีเรียสว่าใครจะมาดังกว่าใคร ใครจะมีงานเยอะกว่าใคร โดยส่วนตัวผมไม่ได้คิดว่าผมดังอะไรมากมาย คือพอละครแต่ละเรื่องที่ออกมา มันทำให้มีคนที่รู้จักเรามากขึ้น หรือว่าละครแต่ละเรื่องเราได้กลุ่มคนดูที่ขยายมากขึ้น อย่างตอน 4 หัวใจแห่งขุนเขา เราได้กลุ่มคนดูที่เป็นวัยรุ่นบ้าง เด็กบ้าง พอมาเรื่อง รอยมาร ผมรู้สึกว่าผมได้กลุ่มคนดูที่เป็นผู้ใหญ่ด้วย มีคนรู้จักผมในกลุ่มที่กว้างมากขึ้น ดีใจที่คนติดตามผลงาน แต่ว่าเรื่องที่ดังไม่ดังนี่ผมไม่ค่อยกล้าคิดเท่าไหร่ ไม่ได้คิดจะไปแข่งกับใคร ยิ่งกับน้องยิ่งไม่ได้คิดจะแข่ง เอาเป็นว่าผมอยากให้หน่องมีคนรู้จักมากขึ้น มีผลงานมากขึ้น เรื่องที่จะมาดังกว่าผมผมไม่ได้คิดอยู่แล้ว


คุณแม่ว่าอย่างไรบ้างลูกชายทั้งสองเป็นดาราทั้งคู่

ผมว่าแม่คงดีใจ ค่อนข้างเห่อลูกเหมือนกัน จากแต่ก่อนเป็นคนไม่ค่อยดูทีวี ไม่รู้จักดารา แต่พอผมเข้ามาทำงานตรงนี้ เริ่มให้สอนเปิดอินเทอร์เน็ต ซื้อหนังสือดาราม่าอ่าน พอเจอภาพลูกข่าวลูกก็เก็บ เก็บทั้งเล่มเลย แล้วออกมาดูตามงานข้างนอกบ้าง อย่างคอนเสิร์ตที่ผ่านมา 4+1 ซูเปอร์สตาร์ จะมีรอบซ้อมใหญ่ 1 รอบ รอบจริง 2 รอบ แม่ก็ดู 3 รอบเลย


แม่วิจารณ์งานของลูกอย่างไรบ้าง

จริงๆ แล้ว แม่จะเป็นพูดตรงๆ ถ้าไม่ดีก็บอกไม่ดี เป็นคนที่ชมใครไม่ค่อยเป็น ถ้าดีเขาก็จะเก็บไว้ไปพูดกับคนอื่นมากกว่า แต่ถ้าไม่ดีก็จะพูดเลย คือเขาจะเตือนเลย อย่างเช่นเรื่องของการแสดงหรือว่าทำงาน อะไรที่เขาเห็นว่าเราทำไม่ดีก็จะบอก ถ้าชมก็มีบ้าง (หัวเราะ)


ล่าสุดกับงานละครที่จะต้องดันมารีในเรื่อง พรพรหมอลเวง อีก จริงเท็จอย่างไร

อันนี้เป็นอะไรที่ยังไม่ได้คอนเฟิร์ม คือผมยังไม่ได้รับการคอนเฟิร์มจากทางช่อง ผมยังไม่กล้าพูดอะไรมาก มีได้ยินมาบ้างว่าเป็นละครของคุณตู่ ปิยวดี ชื่อเรื่อง พรพรหมอลเวง แต่ว่าจะได้เล่นจริงหรือเปล่าหรือว่าจะได้คู่กับใครตรงนี้ยังไม่ได้คอนเฟิร์มมา ไม่ได้มีคิวที่แน่นอนว่าจะเปิดกล้องเมื่อไหร่อะไรยังไง


ถ้าเกิดได้เล่นจริงๆ มันเป็นละครรีเมกอีกแล้ว เหมือนจะถูกโฉลกกับละครรีเมก

ใช่..แต่ก่อน พรพรหมอลเวง ช่วงอาทิตย์หน้าจะมีเปิดกล้องอีกเรื่อง คือ ตะวันฉายในม่านเมฆ เรื่องนี้จะไม่ใช่ละครรีเมค เรื่องนี้เป็นพี่ชาย ชาตโยดม หิรัญญัติฐิติ กำกับ


ได้ข่าวมาว่าบอยจะถ่ายแฟชั่นแนวหวิวๆ จะได้ดูเมื่อไหร่

จริงๆ แล้วไม่ได้หวิวๆ อะไรมากมาย จะออกแนวอารมณ์เป็นนิตยสารเพื่อสุขภาพมากกว่า ออกแนวสปอร์ตๆ ไม่ได้เซ็กซี่อะไรมาก ผมก็ไม่ได้มีนิตยสารติดต่อมาถ่ายเยอะนะ เหมือนเขารู้ว่าผมไม่ได้เป็นคนที่หุ่นดีอะไรมาก อย่างเล่มนี้เป็นพี่ที่รู้จักกัน เขาให้เวลาผมนะ ให้เวลาผมถึงเดือนสิงหาคมไปฟิตร่างกาย เข้าฟิตเนส เข้ายิม


เรื่องราวในชีวิต
มีงานเยอะขนาดนี้รู้สึกว่าชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปเยอะไหม และรู้สึกท้อรู้สึกเหนื่อยบ้างหรือเปล่า

เหนื่อยไหมก็เหนื่อยเป็นธรรมดา แต่ว่าไม่ได้ท้ออะไร สนุกกับการทำงานมากกว่า จริงๆ แล้วทำงานมันก็ได้เงิน (หัวเราะ) ได้เงินมาเราก็มีแรงทำงาน อีกอย่างเราก็สนุกไปกับงาน คือผมว่าถ้าทำแล้วมันสนุก แล้วได้เงินด้วย (หัวเราะ) ทุกอย่างก็โอเค มีเหนื่อยกายเป็นธรรมดา แต่ว่าโอเคทำงานตรงนี้ ชีวิตอาจจะต้องมีเปลี่ยนไปบ้าง เวลาส่วนตัวอาจจะน้อยลงไป ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องปกติที่คนที่ทำงานตรงนี้ต้องรับมันให้ได้


อย่างนี้ก็มีแฟนคลับเยอะขึ้น

มีนะก็ตามไปที่งาน ไปอีเวนท์ หรือเวลาอัดรายการ กับแฟนคลับผมค่อนข้างที่จะแคร์เขาเหมือนกัน เพราะเขาเป็นคนที่เวลาจะไปไหนเขาตามมาให้กำลังใจ รวมถึงแฟนคลับ ที่ไม่ได้ตามไปงาน คือเขาเป็นคนที่คอยให้ความสนับสนุนงานเรา ถ้าจะพูดว่าเราอยู่ตรงนี้ได้ เป็นเพราะเขาคงไม่ผิด เพราะฉะนั้นเวลาที่เขาตามมาที่งานหรือมาขอถ่ายรูป ผมเต็มใจทุกครั้ง ดีใจที่เขาอยากมาถ่ายรูปด้วย พยายามจะมีเวลาให้พวกเขาให้ได้มากที่สุด แต่บางทีทุกวันนี้งานอาจจะรัดตัวมากขึ้น แต่ถ้าวันไหนที่ว่าง เสร็จงานแล้วมันไม่ดึกมาก ไม่ได้ไปไหนต่อ ผมพยายามอยู่กับพวกเขาให้นานที่สุด บางทีอยู่เป็นชั่วโมง


ในอินสตาแกรมเห็นโพสต์รูปเกรียนๆ เยอะมาก ให้คำจำกัดความของคำว่าเกรียนๆ หน่อย

สำหรับผมแล้วคือการที่ผมทำท่าบ้าๆ บอๆ เวลาทำท่าอะไรพวกนี้ มันไม่เชิงเป็นคำว่า เกรียน แต่ว่าเป็นการทำท่าอะไรแบบฮาๆ บ้าๆ บอๆ ซึ่งความจริงเวลากลับไปดูอัลบั้มรูปสมัยเด็กๆ ผมเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก


กับสมญานามว่า บอย ปะเกรียน

ทุกคนอาจจะขำตรงที่ว่ามันขัดกับบุคลิกของผมมากว่า หน้าตาอาจจะดูขรึมๆ ไว้หนวดไว้เครา แต่ผมชอบทำท่าแอ๊บแบ๊ว (แข่งกันเกรียนกับ "หมาก"ปริญ) มันเป็นช่วงหนึ่งที่เล่นๆ กัน ขำๆ กัน ถามว่าตอนนี้จะเลิกเกรียนหรือยัง ก็จะลดๆ ลงบ้าง ที่พยายามลดก็บางทีกลัวคนจำท่าเราไป กลัวคนมองว่าเราติ๊งต๊อง ไม่ถึงกับลดก็แค่เราต้องมีลิมิต ทำให้ลิมิตที่เหมาะสม บางทีถ่ายรูปออกมาแต่ว่าไม่ขำก็มีนะ (หัวเราะ)


หัวใจและความรัก
สถานะหัวใจตอนนี้

บอกเลยว่าโสดสนิท โสดจริงๆ เพราะว่าช่วงนี้ทำงานค่อนข้างเยอะ แต่ถามว่าอยากมีใครที่คุยด้วยไหมก็อยากนะ คือแบบไม่ใช่ไม่อยาก แต่ว่าถ้าจะเริ่มคบใครสักคนมันต้องใช้เวลาในการศึกษา แต่เวลาตรงนั้นยังไม่มี


บางคนยุ่งขนาดนี้ แต่สามารถแบ่งเวลาสำหรับเรื่องความรักได้

ผมว่าถ้าเกิดว่าคบกันในสภาวะที่ผมมีเวลาน้อยแบบนี้ มันไปไม่รอดแน่นอน แค่จะศึกษาเรายังไม่มีเวลาเลย (แล้วเมื่อไหร่จะมีเวลาศึกษา) ไม่เป็นไรดีกว่า ยังไม่ค่อยรีบ แม้ว่าวัยผมจะเป็นวัยที่เริ่มต้องคิดเรื่องพวกนี้แล้ว แต่ผมยังสนุกกับงาน จะมีเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ซีเรียส


เป็นข่าวกับสาวๆ เยอะ อย่าง "กาละแมร์" พัชรศรี เบญจมาศ

กับทุกคนที่เป็นข่าวมาไม่มีเรื่องไหนเป็นจริงเลย เกือบทุกคนที่เป็นข่าวด้วยเป็นคนที่สนิทกันหมด เริ่มตั้งแต่ "มาร์กี้" ราศรี คิมเบอร์ลี่ "จ๊ะ" จิตตาภา มาถึงพี่กาละแมร์ พี่ต้นหอม(ศกุนตลา เทียนไพโรจน์) ทุกคนเป็นคนเป็นคนที่ทำงานด้วยกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน ด้วยคาแรกเตอร์ผมที่ดูเจ้าชู้ เขาก็เลยจะจับคู่


จริงๆ แล้วเป็นคนเจ้าชู้ไหม

ถ้าเกิดว่าผมมีแฟนแล้วผมก็มีคนอื่น แต่ถ้าเกิดไม่มี ผมเห็นผู้หญิงผมก็มอง อาจจะชอบมองมากเป็นพิเศษหน่อย (หัวเราะ) กับพี่ต้นหอมผมก็ไม่ได้ไปไหนด้วยกันบ่อยมากนะ ไปกัน 2-3 ครั้ง ไปดูหนังบ้างกินข้าวบ้าง ความจริงพี่ต้นหอมเขาอายุเยอะกว่าผม 2-3 ปี ด้วยความที่เขาเป็นคนคุยสนุก เขาเป็นคนวัยรุ่นคนหนึ่ง ก็คุยเฮฮากัน เหมือนพี่น้องมากกว่า ด้วยความที่บ้านใกล้กันด้วย


แฟนคลับอยากให้เป็นแฟนกับ "มาร์กี้" ราศรี

คนอินจากในละคร ตั้งแต่ 4 หัวใจแห่งขุน (วายุภัคมนตรา) เขาจนมาถึง "รอยมาร" ถ้าเป็นในภาษาอินเทอร์เน็ตเขาก็จะเรียกว่าจิ้น อยากให้เป็นแฟนกัน เราสองคนดีใจที่คนดูอิน แสดงว่าดูละครแล้วชอบ เราเป็นคนคล้ายๆ กัน พูดคุยกันถูกคอ เป็นคนประเภทเดียวกัน ส่วนเรื่องพัฒนาความสัมพันธ์คงยาก เพราะผมไม่ได้มองเขาในทำนองนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทุกวันนี้ยังสนิทกันเหมือนเดิม แม้ไม่ได้เล่นละครด้วยกัน ก็มีแฟนๆ เชียร์ให้กลับมาเล่นคู่กันด้วย (ในอนาคตอันใกล้จะได้เห็นมาเล่นคู่กันอีกไหม) คือน่าจะเป็นปีหน้าเลย จริงๆ ในปีหน้าต้องได้เจอกัน 1-2 เรื่องด้วยซ้ำ แต่ด้วยเรื่องปัญหาของคิวทำให้ยังไม่ได้เจอกัน น่าจะเป็นปีหน้า


ถ้าจะเริ่มต้นคุยกับใครใหม่ มีสเปกไหม

ชอบคนที่ลุคดูเรียบร้อยหน่อย แต่ไม่ต้องเรียบร้อยก็ได้ ชอบคนรู้กาลเทศะมากที่สุด แต่ว่าที่เหลือก็คือจะชอบมากที่สุดถ้าเขาเป็นคนเฮๆ ฮาๆ เหมือนเรา ติดดินเหมือนเรา


เคยวาดฝันถึงชีวิตครอบครัวของเราข้างหน้าว่าจะเป็นอย่างไรบ้างไหม

ไม่นะ คือในอนาคต ต้องอยากมีครอบครัวอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันยังไม่ใช่ อยากมีลูก แต่เรื่องเมียยังไม่ได้คิดเลย (หัวเราะ) คือถ้ารู้สึกว่ามีลูกต้องเป็นคนที่รักลูกมากๆ แน่เลย สำหรับผมแล้วคำว่าโซ่ทองคล้องใจมันต้องเป็นคำนั้นจริงๆ ในชีวิตความเป็นพ่อของผม ชอบเด็ก ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงก็จะชอบมาก ถ้าไม่ได้มาทำงานตรงนี้ก็คงแต่งงานมีลูกไปแล้ว เพราะเป็นคนที่อยากมีลูกมาก (อยากให้ลูกเหมือนเราตรงไหน) นิสัยมากกว่า หน้าตาดีเดี๋ยวจะมีคนมาจีบเยอะ (หัวเราะ) เพราะผมหวงลูก


เอ้า...สาวๆ สบายใจได้เลยนะจ๊ะ ตอนนี้หนุ่มบอยโสดสนิทจ้า...

ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์
ชื่อเล่น บอย
เกิดวันที่ 20 สิงหาคม 2527
ปัจจุบันอายุ 28 ปี
การศึกษา ปริญญาตรี คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผลงานในวงการครั้งแรก ภาพยนตร์เรื่อง ฝัน หวาน อาย จูบ
ผลงานที่สร้างชื่อเสียง 4 หัวใจแห่งขุนเขา (วายุภัคมนตรา)
ผลงานละครที่ผ่านมา ไฟรักอสูร หัวใจสองภาค สามหัวใจ รอยมาร สามหนุ่มเนื้อทอง แววมยุรา
ผลงานภาพยนตร์ที่ผ่านมา ปายอินเลิฟ ชิงหมาเถิด หลุด 4 หลุด สะบายดี วันวิวาห์
''จั๊กจั่น'' ขอรักตัวเอง ยังไม่พร้อมรักใคร

กำลังเรียกเรตติ้งสูงอยู่ในขณะนี้สำหรับละคร “ขุนเดช” นางเอกสาว จั๊กจั่น-อคัมย์สิริ สุวรรณศุข เลยหน้าบาน และบอกว่าถึงแม้จะเหนื่อย แต่ก็มีความสุขมากกับการทำงาน มาพูดคุยกับสาวจั่นแบบเอ็กซ์คูลซีฟ เธอเปิดใจทั้งเรื่องการงานที่กำลังรุ่ง และความรักที่อาจจะยังมาไม่ถึง แต่ก็สุขใจที่เป็นโสด


ละครเรื่อง “ขุนเดช” เพิ่งออกอากาศไปไม่นาน เรตติ้งก็อันดับ 1 เลย รู้สึกอย่างไรบ้าง?

ดีใจมากค่ะ เพราะทีมงานทุกคนเหนื่อยกันมาก แล้วก็ต้องรอให้น้ำลดช่วงน้ำท่วมด้วย เพราะไปถ่ายที่โบราณสถานไม่ได้เลย เรื่องนี้ต้องไปถ่ายที่อยุธยา สระบุรี กาญจนบุรี สุโขทัย ทีมงานตั้งใจเก็บภาพสวย ๆ มาฝากแฟนละคร พอละครออกอากาศวันแรก ผลตอบรับออกมาดีมากค่ะ ทางทวิตเตอร์ คนชมว่าพี่วีและเวียร์หล่อและเฟิร์มมาก เดินเรื่องก็ไม่อืดอาด ดีใจแทนทีมงานค่ะ


เนื้อหาของขุนเดชให้แง่คิดอะไรบ้าง?

ขุนเดชในภาคนี้จะต่างจากขุนเดชในภาคแรก ซึ่งภาคแรกจั่นไม่เคยดูนะคะ แต่พี่ธงบอกตอนบวงสรวงว่าพี่จะปรับให้มี 2 คู่เท่ากัน เส้นเรื่องจะไม่ใช่บู๊อย่างเดียว มีเส้นรักด้วย ตัวขุนเดช หมวดยงยุทธ และอาจารย์ดารา 3 คนนี้เป็นเพื่อนรักกันมา แล้วจั่นซึ่งเล่นเป็นอาจารย์ดาราชอบขุนเดชซึ่งเล่นโดยพี่วี แต่หมวดยงยุทธซึ่งเล่นโดยเวียร์ชอบจั่น พอขุนเดชรู้เลยหลีกทางให้เพื่อน เวลาผ่านไป ขุนเดชเป็นช่างขุดแต่งโบราณสถาน ยงยุทธเป็นผู้หมวด จั่นเป็นอาจารย์สอนโบราณคดี ก็จะเป็นความรักของเพื่อน 3 คนที่ต้องเสียสละ นอกจากนี้ยังมีนักแสดงอีกหลายคน มีน้องกรีนด้วย สำหรับบทบาทของจั่นที่ต้องมาเป็นอาจารย์สอนโบราณคดี ทำให้จั่นต้องศึกษาประวัติศาสตร์เยอะ ได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยได้รู้ แล้วก็ยังฮึกเหิมรักชาติอีกด้วย เวลาไปถ่ายตามซากปรักหักพังซึ่งยังสวยงามอยู่นะ นึกย้อนไปว่าในสมัยสุโขทัยเมื่อ 7-800 ปีก่อนคงสวยงามมาก อยุธยาก็สวยงามไม่แพ้กัน น่าเสียดายจัง เรื่องนี้จะแสดงให้เห็นถึงบรรพบุรุษของเราที่คอยปกป้องผืนแผ่นดินไทยเอาไว้ สมัยก่อนยังไม่มีอาวุธปืน ก็จะใช้ศิลปะป้องกันตัวอย่างมวยไทยและเพลงดาบมาปกป้องแผ่นดินไทยเอาไว้ได้ ไม่ใช่เอาปืนของฝรั่งมา เอะอะยิง เอะอะยิงแบบนั้นค่ะ

รู้สึกว่าพักหลังจั่นมีผลงานออกมาติด ๆ กันเลย?

เป็นโอกาสและช่วงจังหวะมากกว่าค่ะ ได้เปลี่ยนบทบาทไปเรื่อย ๆ คาแรกเตอร์ไม่ซ้ำเดิม ที่จบไปก่อนหน้านี้เป็นเรื่อง “ดุจดาวดิน” ซึ่งเป็นดราม่า ส่วนเรื่องนี้เป็นแนวพีเรียดค่ะ


ตอนแรกที่มาช่อง 7 จั่นต้องมาประกบกับนางเอกคนอื่น พักหลังมีโอกาสได้เป็นนางเอกเดี่ยวมากขึ้น?

จั่นไม่ซีเรียสนะ เพราะตัวละครทุกตัวมีบทบาทสำคัญในการดำเนินเรื่อง ที่ผ่านมาไม่ว่าจะมีกี่คู่ แต่บทที่จั่นได้รับมักเป็นบทที่ดี มีที่มาที่ไป เป็นตัวทำให้เกิดปมของเรื่อง จั่นเต็มที่นะ ไม่เคยมาแบ่งแยกว่าละครหลังข่าว ละครก่อนข่าว ละครเย็น เพราะจั่นก็เล่นมาหมดแล้ว ถ้าเรารู้สึกแบบนั้นก็เหมือนว่าเราดูถูกอาชีพตัวเอง เพราะละครมันก็คือการแสดง เราต้องสวมบทบาทให้คนดูเชื่อว่าเราเป็นตัวละครนั้น ก่อนจั่นเซ็นสัญญาเข้าช่อง 7 ก็คิดไว้แล้วว่าช่องมอบหมายบทอะไรมา เขาคิดแล้วว่าบทนั้นเหมาะสมกับเรา ก็เลยเล่นได้หมดค่ะ


ให้คะแนนฝีมือด้านการแสดงของตัวเองเท่าไรดี?

ถามว่าพอใจสูงสุดไหม ก็ยังไม่พอใจนะคะ ให้ประมาณ 8 เต็ม 10 แล้วกันค่ะ อีก 2 ไว้พัฒนา เพราะเรายังต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ เรายังไม่ได้เล่นทุกบท บทคนบ้าและบทผีก็ยังไม่เคยได้เล่น มีหลายบทบาทที่ยังไม่เคยได้เล่นเลย มันก็ต้องพัฒนาฝีมือกันไป ทุกวันนี้ก็พยายามทำเต็มที่ในทุกบทบาทที่ได้รับมาค่ะ


วิธีการพัฒนาของจั่นเป็นอย่างไร?

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจั่นต้องเล่นละครบู๊ จั่นไม่มีพื้นฐานบู๊เลยก็ต้องทำการบ้าน ไปเรียนศิลปะป้องกันตัวเพิ่มเติม อย่างเรื่องนี้ ทางพี่ธงให้จั่นกับน้องกรีนไปเรียนฟันดาบ ต่อสู้ เพื่อเป็นพื้นฐานด้วย เพราะเวลามาถ่ายละครจะได้ไม่ช้า หลายคนบอกว่าละครคือการแสดงหรือแอ๊คติ้ง จั่นคิดว่าแอ๊คติ้งอีสดูอิ้ง (Acting is doing) คือเราต้องทำจริง ๆ อย่างแสดงว่าเจ็บ คนดูจะรู้ว่าเราเจ็บจริง ๆ หรือไม่เจ็บจริง เราต้องอ่านบทก่อนทุกครั้งว่าฉากนี้เป็นอย่างไรบ้าง หรืออย่างคำศัพท์บางคำ เช่น พระขพุงผี ซึ่งเป็นเทวดาที่สถิตอยู่ที่สุโขทัย เราก็ต้องหัดพูดให้ชัด ไม่อย่างนั้นมันจะพูดผิดๆ ถูกๆ หรือคำว่าโบราณคดี อ่านอย่างไร โบ-ราน-คะ-ดี หรือ โบ-ราน-นะ-คะ-ดี ต้องอ่านให้ถูก ฝึกออกเสียง เรื่องนี้พูดค่อนข้างยาก เช่น วีรบุรุษบาปแห่งศรีสัชนาลัย ก็เลยต้องฝึกพูดเยอะ ๆ จะได้ไม่ช้า ไม่เป็นภาระของคนอื่นค่ะ

ตอนนี้วางแผนชีวิตในวงการบันเทิงไว้อย่างไรบ้าง?

ตั้งแต่เด็ก จั่นชอบกิจกรรม เป็นคนชอบแสดงออก เลยคิดว่าจะทำงานวงการนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วก็คงมีธุรกิจส่วนตัวด้วยค่ะ ธุรกิจส่วนตัวที่มองไว้ คงเป็นสิ่งที่ถนัดค่ะ เช่น การแต่งตัว ของสวย ๆ งาม ๆ แต่ยังไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าจะเป็นอะไร ที่ผ่านมาเคยทำร้านอาหารแล้ว เลยเล็งเห็นว่าเวลาทำธุรกิจใด ๆ เราต้องมีเวลาให้มัน ต้องศึกษามันให้ดี ตอนนี้ก็ทำงานในวงการ เก็บเงินเยอะ ๆ ไปก่อน เมื่อถึงเวลาที่พร้อม ถ้าอายุมากขึ้น จั่นอาจเลือกรับละครปีละ 1-2 เรื่อง จะได้มีเวลาดูแลธุรกิจของเราไปด้วย แต่ตอนนี้จั่นก็ยังสนุกกับงานแสดงนะ ถามว่าเหนื่อยไหม มันก็เหนื่อยแต่สนุก ทำแล้วมีความสุขค่ะ


นอกจาก ขุนเดช แล้ว ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม?

มีละครเรื่อง “เสือสมิง” ค่ะ ในเรื่องนี้บทบาทที่ได้รับมีหลายตัวละครเลย มีทั้งตอนอดีต ปัจจุบัน ต้องไปหัดเรียนรำผีฟ้าหน้าทองซึ่งเป็นรำรักษาโรค เพราะในเรื่องจะเล่นเป็นเจ้าหญิงเมืองพุกามที่สืบทอดความเป็นผีฟ้าหน้าทองที่รักษาคนไข้ อาคมน์-อรรฆเดช บอกว่าเรื่องนี้ต้องเล่นเป็นเสือด้วยนะ คือเป็นเสือสมิง ดีเลยค่ะ ด้วยความที่จั่นเลี้ยงแมวอยู่แล้ว เดี๋ยวเราไปดูดีกว่าว่ามันทำท่าทางอย่างไร เพราะมันคงคล้ายเสือ


มีความสุขกับกองถ่าย กลับบ้านเลี้ยงแมว รู้สึกว่าชีวิตราบเรียบไหม?

ไม่นะ เพราะมรสุมชีวิตก็มี อย่างตอนที่มีโจรเข้าบ้าน หรือตอนน้ำท่วม เฟอร์นิเจอร์บิวต์อินเสียหายหมดเลย ต้องอพยพนั่งเรือออกมาอย่างที่เป็นข่าว คิดในแง่ดีว่ามันผ่านไปแล้ว ถือเป็นบทเรียน แต่ถ้าปีนี้ท่วมอีก คงไม่รอนั่งเรือออกมาแล้ว แบบว่าถ้าน้ำมาแถวอยุธยาเมื่อไร จะรีบเก็บของและย้ายไปอยู่คอนโดฯเลย (หัวเราะ)


เรื่องของหัวใจตอนนี้เป็นอย่างไร?

ยังไม่เจอคนที่ใช่ค่ะ ด้วยความที่ทำงานตลอด เจอแต่คนที่กองถ่ายแล้วก็กลับบ้าน เพื่อนบางคนก็มาแนะนำคนนั้นคนนี้ให้รู้จัก เลยย้อนถามกลับไปว่าดีแน่นะ ถ้าไม่ดีเสียชื่อนะ คนที่แนะนำมาก็เงียบ (หัวเราะ) จั่นรู้สึกว่าทุกวันนี้จั่นมีความสุขกับการทำงาน ความรักมันมีหลายรูปแบบ ไม่ได้มีแค่ในเชิงหนุ่มสาวเท่านั้น แต่ถามจั่นว่าอยากแต่งงานไหม จั่นก็อยากมีครอบครัวนะ แต่ยังไม่ถึงเวลา จั่นว่าจั่นโตขึ้นมาก เมื่อก่อนชอบก็บอกว่าชอบ จะคบเลย คือเรามองมุมเดียว ไม่ได้มองหลาย ๆ ด้าน

สิ่งที่คิดเยอะที่สุดในการมีชีวิตคู่คืออะไร?

อันดับแรกเลยคือ คนนั้นต้องเข้าใจงานของเรา อย่างละคร “ขุนเดช” มีบทเลิฟซีน คนก็แซวว่าวันนี้มีเลิฟซีนจุ๊บกับวี จุ๊บกับเวียร์ แต่จั่นมีเหตุผลในงานที่ทำ จั่นไม่ใช่คนหวือหวาอยู่แล้ว ไม่ได้ถ่ายแฟชั่นหรือแต่งตัวหวือหวา เข้าวงการมาก็ 10 ปีแล้ว จั่นมีเหตุผลในการทำงานของจั่น อย่างบทเลิฟซีน จั่นดูก่อนเลยว่ามันมีที่มาที่ไปไหม แล้วมันก็มีลิมิตนะ ไม่ได้เลิฟซีนรุนแรง แต่ใช้มุมกล้องช่วย เพราะฉะนั้นคนที่จะคบกับจั่นต้องเข้าใจตรงจุดนี้ จั่นทำงาน 7 วัน คนที่ไม่ได้ทำงานในวงการจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำงานมากขนาดนี้ บางครั้งเราต้องทำงานในวันหยุดของคนอื่น แล้วอีกอย่างก็ขอให้เป็นคนรักสัตว์ด้วย เพราะจั่นชอบเลี้ยงแมว ที่สำคัญรักครอบครัวเราด้วย ให้เกียรติเราและครอบครัว แต่ถามจริง ๆ ว่าตอนนี้พร้อมที่จะมีคนรักหรือยัง จั่นยังไม่พร้อมนะ เพราะจั่นยังรู้สึกรักตัวเอง ยังอยากให้เวลากับตัวเอง ยังไม่พร้อมจะเสียสละเวลาส่วนตัวให้ใคร

ถ้ามีวันหยุดก็อยากจะนอนพักผ่อน หรืออาจจะไปทำเล็บ ทำผม ไม่ใช่ต้องมาแต่งตัวสวยเพื่อจะไปกินข้าวกับใคร ทุกวันนี้ยังเล่นตุ๊กตาบลายธ์อยู่เลย เป็นความชอบส่วนตัวค่ะ


แต่ก็มีข่าวจับคู่อยู่บ่อย ๆ นะ?

จั่นเข้าใจนะ เพราะผู้หญิงก็ต้องมีข่าวจับคู่เป็นธรรมดา ด้วยความที่เราโสดมานานด้วย คนก็ต้องจับตามองเป็นพิเศษ หรือถ้าไม่ใช่ข่าวมีแฟน ก็เป็นข่าวเกาเหลา จั่นก็งงนะ เพราะเราไม่ใช่คนนิสัยแบบนั้น แต่ก็ไม่เครียดอะไร แค่เกรงใจคนอ่าน กลัวเขาไปเข้าใจว่าเรามีนิสัยแบบนั้น เพราะจริง ๆ แล้ว พี่ ๆ นักข่าวรู้อยู่แล้วล่ะว่าจั่นเป็นคนอย่างไร พยายามคิดว่าข่าววันนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ผ่านไป เรารู้ดีที่สุดว่าเราเป็นอย่างไร แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ


สุดท้ายนี้อยากฝากผลงานอะไรถึงแฟน ๆ?

ขอฝากละครเรื่อง “ขุนเดช” นะคะ ออกอากาศทุกวันพุธ-พฤหัสบดี หลังข่าวช่อง 7 สี และกำลังจะเปิดกล้องละครเรื่อง “เสือสมิง” เรื่องนี้ก็เป็นละครหลังข่าวอีกเหมือนกัน ต้องไปถ่ายที่เมืองกาญจน์ตลอด อยากให้คอยติดตาม เพราะเรื่องนี้มีหลายพาร์ท ทั้งอดีตและปัจจุบัน และที่สำคัญขอให้ติดตามเรื่อง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ภาคสุดท้าย เพราะจั่นก็แสดงด้วย ถึงบทจะไม่เยอะ แต่ก็อยากให้ช่วยกันอุดหนุนหนังไทยด้วยนะคะ


อย่างนี้ต้องเรียกว่า งานรุ่ง แต่เรื่องรัก ต้องรอไปก่อนนะจ๊ะ.

ฟลอเรนซ์คลิกเจมส์ เศร้าถูกมองแย่งแฟนคนอื่น

เหินฟ้าไปทำงานที่ใจรักยังดินแดนที่ไม่เคยหลับอย่างนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเวลาถึง 9 ปี

นางแบบสาวลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส วัย 29 ปี ฟลอเรนซ์วนิดา เฟเวอร์ ก็มามีข่าวฮือฮาตอนกลับไทย หลังควงหนุ่ม เจมส์ แม็กกี้ จี๋จ๋าออกงานคู่ จนถูกครหาเป็นมือที่ 3 ทำให้ความรักของ เจมส์ กับนางเอกสาว ซูซี่สุษิรา แน่นหนา สะบั้นลง

วันนี้จังหวะดี นัดแนะน้องหนูมาเจาะลึกเรื่องราว โดยเลือกมุมดีที่ร้าน สเวนเซ่นส์ เซ็นทรัลเวิลด์ พูดคุย พร้อมๆ กับหม่ำไอศกรีมเย็นๆ ดับร้อนไปในตัว


กลับมาเมืองไทยครั้งนี้ฮือฮามากๆ ตกเป็นข่าวใหญ่กับ เจมส์ แม็กกี้

ฟลอเรนซ์ - "จริงๆ เรารู้จักกันมา 7-8 ปีที่แล้ว หลังฟลอเรนซ์ไปทำงานที่นิวยอร์กและกลับมาเมืองไทยเพราะมีงาน เวลาเดินแบบก็เจอกัน ทำให้รู้จักกัน และเขาเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที ทำให้เจอกันบ่อย"

"เราเป็นเพื่อนกัน แฮงเอาต์กันบ้างเวลากลับมาไทยช่วงคริสต์มาสหรือซัมเมอร์ แล้วอยู่ดีๆ ก็ห่างกัน ไม่ได้เจอกันนานหลายปี เพิ่งมาเจอตอนฟลอเรนซ์กลับมาไทยเมื่อปลายปีที่แล้ว ในงานเปิดตัวคอนโดฯ ก็เริ่มแฮงเอาต์กันเหมือนสมัยก่อน"


ตอนนั้นทราบหรือเปล่าว่าเขาเคยมีแฟนเป็นดาราชื่อ ซูซี่

ฟลอเรนซ์ - "ไม่รู้ค่ะ จนได้ไปเที่ยวกันคุยกัน เขาก็บอกไม่มีแฟนแล้ว เลิกกับแฟนเก่าแล้ว แต่เราก็ไม่รู้ว่าแฟนเก่าเขาคือซูซี่ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซูซี่คือใคร เราอยู่แต่เมืองนอก ดาราไทยไม่ค่อยรู้จัก และเพื่อนเราในวงการก็จะบอกระวังนะ เขาเคยเป็นแฟนกับคนนี้ แน่ใจนะว่าเขาเลิกกันแล้ว เพื่อนเตือนเพราะเป็นห่วงกลัวเป็นข่าวแล้วจะยุ่ง"

"จริงๆ เจมส์เป็นคนไว้ใจได้ ซึ่งเราชอบเจมส์ตรงจุดนี้มาโดยตลอด เขาเป็นคนน่ารัก จริงใจ พูดจริง ไว้ใจได้ เป็นคนตรงๆ ไม่เฟก ไม่โกหก ถ้ามีอะไรไม่ดีเขาก็จะพูดตรงๆ พอเพื่อนๆ มาทักเรื่องนี้ เราก็ถามเจมส์ เขาก็บอกไม่มีอะไร เราเชื่อเขา"


พอรู้ว่า เจมส์ โสดก็เริ่มเปิดใจศึกษาหรือเปล่า

ฟลอเรนซ์ - "แฮงเอาต์กันบ่อยก็เริ่มสนิทกัน จริงๆ เราคลิกกันตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว แต่มาคลิกมากขึ้นตอนนี้ ซึ่งเราใกล้ชิดและเข้าใจกันมากกว่าก่อน เพราะตอนโน้นฟลอเรนซ์มีแฟนอยู่ แต่มาตอนนี้คือโสดกันทั้งคู่ก็เลยเปิดใจกัน เหมือนเราเข้ามาในจังหวะที่พอดี ต่างคนต่างไม่มีใคร เห็นใจกันและกันค่ะ"


พอเริ่มศึกษากัน คิดว่า เจมส์ เป็นคนอย่างไรบ้าง

ฟลอเรนซ์ - "น่ารักค่ะ (หัวเราะ) เขาเกิดปีเสือซึ่งเข้ากับปีหมูปีเกิดฟลอเรนซ์ได้ดีมาก เราอายุมากกว่าเขา 2 ปี เราเชื่อและชอบในเรื่องดวงอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เคยมีแฟนที่คบกันมา 6 ปี เกิดปีเสือเหมือนเจมส์ แต่จะอายุมากกว่า 9-10 ปี จุดนี้ทำให้เรารู้ว่าปีเสือมันดีและเกื้อกูลกับปีหมู ถูกโฉลกกันมากๆ เราเชื่อในเรื่องราศีเกิด ชอบเรื่องพวกนี้มากๆ และถ้าคลิกกันได้จริงๆ จะแฮปปี้มากๆ"


ทุกวันนี้ถือว่าคลิกนะ ดูหวานแหววมากๆ ถึงขนาดมีรูปหลุด เจมส์ หอมมือเรา

ฟลอเรนซ์ - "จริงหรือคะ รูปนี้น่าจะเกิดหลังเราศึกษากันแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นฟลอเรนซ์คงไม่ให้เจมส์หอมมือหรอก จำไม่ได้เหมือนกันถูกแอบถ่ายที่ไหน"


แต่มาเปิดตัวมากขึ้นตอนควงกันไปงานแต่งของ ชาคริต-วุ้นเส้น หรือเปล่า

ฟลอเรนซ์ - "ใช่ค่ะ แต่ปกติเราไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดอยู่แล้ว และหลังๆ แฮงเอาต์กันประจำ เริ่มติดกัน เลยไม่ได้คิดว่าเป็นงานเปิดตัว อย่างงานชาคริต ฟลอเรนซ์รู้จักชาคริต 15 ปีที่แล้วตอนถ่ายทีนทอล์ค และเจมส์เคยร่วมงานกับชาคริตในหนัง มาย เบสต์บอดี้การ์ด เขาสนิทกัน และชาคริตชวนเจมส์ เจมส์ก็ชวนเรา เราก็โอเค ไม่ได้คิดว่าไปออกสื่อ ไม่คิดจะไปเปิดตัวครั้งแรก"


วันนั้นคนมองว่าพวกเราหนีนักข่าว ไม่ยอมให้สัมภาษณ์

ฟลอเรนซ์ - "ไม่ใช่ค่ะ จริงๆ ฟลอเรนซ์เป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงมาก วันนั้นอาจจะดูว่าเราหนีนักข่าว ตอนนั้นเราไม่อยากตอบคำถาม แต่เพราะวันนั้นทำให้มีข่าวออกมาอีกเยอะมากๆ ว่าฟลอเรนซ์เป็นมือที่สาม เจมส์ก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ไม่ถูก คนไม่ควรคิดแบบนั้น เขาเลยบอกเราว่าถ้ามีคนมาถามก็ควรเคลียร์ข่าวนิดนึง ไม่อย่างนั้นจะดูไม่ดีทั้งเราและเขา เขาก็จะถูกมองว่าเจ้าชู้ คบหลายคน และฟลอเรนซ์ก็จะเหมือนคนที่ไปแย่งแฟนคนอื่น หลังจากนั้นพอเจอพี่ๆ นักข่าวงานสุพรรณหงส์ก็เลยตอบคำถาม"


รู้สึกแคร์หรือเปล่าที่ถูกมองเป็นมือที่สาม

ฟลอเรนซ์ - "ตอนแรกไม่แคร์เท่าไหร่ ไม่เป็นไร ไม่คิดว่าคนจะคิดว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเรารู้ตัวเองดีว่าเราเป็นคนอย่างไร เราไม่ใช่คนที่จะไปแย่งแฟนคนอื่น พอข่าวออกมารู้สึกแอบไม่ดีเหมือนกันที่คนพูดแบบนั้นกับเรา รู้สึกเศร้านิดนึง"


กับข่าวต่างๆ คิดว่าเป็นอุปสรรคกับความรักหรือเปล่า

ฟลอเรนซ์ - "ไม่ได้เป็นอุปสรรคค่ะ ข่าวก็คือข่าว เรื่องของเราคือเรื่องส่วนตัวอยู่แล้ว เราไม่เอาข่าวนี้มาสร้างปัญหาชีวีต มันจะไม่มากระทบความสัมพันธ์ของเรา ความสัมพันธ์ของเราเป็นแบบไหนก็เป็นแบบนั้น ข่าวจะมาแทรกไม่ได้เลย ข่าวไม่ได้ทำให้เราใกล้ชิดมากขึ้น หรือห่างกันมากขึ้น ปกติไม่ค่อยซีเรียสกับข่าว แต่ฟลอเรนซ์ไม่เคยเป็นข่าวมือที่สาม มันใหม่สำหรับเรามากๆ พอเจอบ่อยๆ ก็รู้สึกเสียใจนิดหน่อยค่ะ"


ตั้งไว้ว่าอยากแต่งงานตอนอายุเท่าไหร่

ฟลอเรนซ์ - "30 กว่าขึ้นไปค่ะ ปีนี้อายุ 29 ปี หวังว่าจะได้แต่งงานไม่เกิน 30 กว่า (หัวเราะ) ถ้าหาไม่ได้ก็คง 40 กว่า เราก็อยากใส่ชุดเจ้าสาวเหมือนกัน ถามว่าเจมส์จะใช่เจ้าบ่าวหรือเปล่า ตรงนี้ไม่รู้ค่ะ ยังอีกนาน เราเพิ่งเริ่มต้นยังไม่ได้คิดขนาดนั้นหรอกค่ะ"

"ส่วนสเป๊ก ทุกวันนี้ไม่แน่ใจแล้วว่าสเป๊กเราเป็นอย่างไร มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่เจมส์เป็นคนดี เราชอบคนมีมารยาท และสุภาพ เราคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญ อีกอย่างที่สำคัญคือการเข้ากันได้ เพราะฟลอเรนซ์เป็นคนคบคนยาก มันต้องเข้ากันได้จริงๆ คุยกันรู้เรื่องจริงๆ ไม่อย่างนั้นไม่คบ คนไหนเรื่องเยอะก็ไม่เอา หงุดหงิดใจร้อนก็ไม่ชอบ ชอบคนสบายๆ ตอนนี้เขาก็สอบผ่านหลายข้อแล้ว"


ตัวเราทำงานต่างประเทศต้องห่างกัน กลัวความสัมพันธ์จะไม่ยั่งยืนหรือเปล่า

ฟลอเรนซ์ - "ไม่ค่อยกลัว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ปล่อยไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องไปกดดันตัวเองว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้ ตอนนี้เรียนรู้กันไป ดูกันไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดหรือคาดหวังล่วงหน้า ไม่เครียด เพราะวันนี้เราแฮปปี้ก็พอแล้วค่ะ"


เรียกว่าอดีตและอนาคตไม่สำคัญ ทำปัจจุบันให้ดีก็พอ
คิดถึงบ้าน

ทิ้งทวนบท มณีจันทร์ ในภาพยนตร์เรื่อง "ทวิภพ" ไว้เมื่อ 9 ปีก่อน นางเอกสาว ฟลอเรนซ์วนิดา เฟเวอร์ ก็บินไปทำงานที่นิวยอร์กทันที

โดย ฟลอเรนซ์ เล่าว่า "จริงๆ อยากย้ายไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่ปีค.ศ.1999 แล้ว แต่ตอนนั้นคุณแม่อยากให้เรียนหนังสือที่เมืองไทยให้จบก่อน ฟลอเรนซ์เลยเรียนจนจบไฮสคูลที่ ร.ร.ร่วมฤดี เสร็จแล้วก็ถ่ายหนัง ทวิภพ จนปิดกล้องก็ย้ายไปนิวยอร์กเลยค่ะ ประมาณเดือนม.ค. ปีค.ศ.2003"

ซึ่งความจริงเธอเองก็เสียดายงานในเมืองไทย ที่มีทั้งเดินแบบ ถ่ายแบบ และแสดงติดต่อมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนางแบบสาวขอเลือกใช้โอกาส

"สำหรับโอกาสที่เราได้มาไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ เราได้ไปทำงานที่นั่นเพราะได้ถ่ายแฟชั่นนิตยสารเมืองนอกเล่มหนึ่ง แล้วช่างภาพส่งรูปเราไปให้เอเยนซี่ที่นิวยอร์ก ทางนั้นสนใจเลยให้เราบินไปลองดู ตอนนั้นเรียนอยู่ม.3 ก่อนถ่าย ทวิภพ อีก ซึ่งก็ได้งานอย่าง คาลวินไคลน์ ซึ่งเขาจะให้อยู่ต่อเลย แต่คุณแม่อยากให้กลับมาเรียน ก็เลยกลับมาค่ะ"


การไปทำงานที่นิวยอร์กของฟลอเรนซ์ครั้งนี้ เรียกว่าลุยเดี่ยว ซึ่งเธอก็ไม่หวั่น

"ไปที่นั่นการแข่งขันสูง แต่ในความรู้สึกเราเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก กว่า อยากลองดู ไม่มายด์ว่าจะถูกปฏิเสธ ซึ่งเราก็มีงานเข้ามาเรื่อยๆ ค่ะ"


นางแบบสาวรับว่า การอยู่ไกลทำให้พ่อแม่เป็นห่วง แต่ตอนนี้ท่านคงชินแล้ว

"ตอนแรกพ่อแม่ไม่ค่อยไว้ใจ กลัวเราทำอะไรไม่เป็น (หัวเราะ) แต่พอเราไปใช้ชีวิตที่นั่นก็เรียนรู้อะไรได้เยอะขึ้น แต่ก็คิดถึงพ่อแม่มาก (หัวเราะ) ยิ่งช่วงนี้ยิ่งคิดถึงมาก ปลายปีที่แล้วคิดถึงมากจนต้องกลับมา และตั้งใจจะอยู่ยาวถึง 6 เดือน ตอนนี้อยู่มาได้ 4 เดือนครึ่งแล้วค่ะ"

ถามว่าอย่างนี้คิดจะกลับมาทำงานในเมืองไทยเลยหรือเปล่า ฟลอเรนซ์กล่าวว่า "ตอนนี้กำลังคิดๆ อยู่ อาจจะย้ายไปอยู่แอลเอ ไปตั้งหลักที่โน่น เพราะเบื่อนิวยอร์ก หลังๆ มันเหนื่อยมาก เพราะการแข่งขัน เราต้องใช้พลังงานเยอะมากไม่ได้หยุดเลย บางวันขนาดไม่ได้ทำอะไรแต่ก็ยังรู้สึกเหนื่อย เพราะสิ่งต่างๆ มันดึงดูดเราตลอดเวลา ถ้าไปแอลเออากาศจะดีกว่า"

"ตอนนี้มีความคิดอาจจะย้ายไปอยู่แอลเอ 6 เดือน แล้วมาอยู่เมืองไทย 6 เดือนค่ะ"

อย่างนี้เชื่อว่าแฟนๆ คงหายคิดถึง รวมถึงหนุ่ม เจมส์ ด้วย


ขยับใกล้ฮอลลีวู้ด-ยึดงานนางแบบใจรักนักแสดง

เบนเข็มไปทำงานที่นิวยอร์กนาน 9 ปี โดยนางแบบสาว ฟลอเรนซ์วนิดา เฟเวอร์ เล่าถึงการทำงานที่ต่างแดนว่า

"เราพยายามทำงานให้ดีที่สุด ไม่เทียบตัวเองกับคนอื่น เพราะสุดท้ายที่เราได้งานเนื่องจากลักษณะเด่นของเรา ซึ่งถ้าเราพยายามทำให้เหมือนคนอื่น มันจะไม่เด่น เราต้องมีบุคลิกและความเด่นเฉพาะตัว อย่าไปฝืนทำให้เป็นแบบใดแบบหนึ่งและหวังว่าเขาจะชอบ ถ้าพยายามฝืนจะไม่เป็นธรรมชาติ เราเป็นตัวของตัวเองดีกว่าค่ะ"

ถามถึงรายได้ นางแบบสาวกล่าวว่า "มันเยอะกว่าเมืองไทย แต่ถ้าหักค่าเอเยนซี่และค่าภาษีก็เยอะเหมือนกัน แต่ถึงหักยังไงก็ยังเยอะกว่าค่ะ"

เป็นเพราะค่าตอบแทนสูง เลยติดใจที่นิวยอร์กมากกว่าเมืองไทย ฟลอเรนซ์รีบปฏิเสธ "ไม่ใช่ค่ะ อาจเป็นเพราะฟลอเรนซ์ถนัดทำงานที่เมืองนอกกับคนต่างชาติ"

"ถ้าอยู่เมืองไทย ภาษาไทยมันมาบังตัวเราที่ไม่สามารถสร้างตัวเองให้เด่นออกมาได้เท่าเราแสดงออกเป็นภาษาอังกฤษ แค่พูดภาษาไทยก็รู้สึกขัดๆ แล้ว มันไม่เต็มที่อย่างที่อยากจะเป็น เพราะภาษามันไม่ถึง และคนอาจไม่เข้าใจเราอย่างที่เราอยากให้คนเข้าใจ เป็นความแตกต่างเรื่องภาษา ซึ่งการสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญมากค่ะ"

แล้วไปอยู่นิวยอร์กได้ใช้ภาษาไทยบ้างหรือเปล่า "ใช้ค่ะ มีเพื่อนไทยเยอะเลย พอย้ายไปอยู่นิวยอร์กเพิ่งจะติดใจวัฒนธรรมไทยมากขึ้น (หัวเราะ) รู้จักศาสนาพุทธ เริ่มติดคนไทย รู้สึกว่าวัฒนธรรมไทยสว งามกว่าต่างประเทศเยอะ รู้เลยว่าคนไทยเจ๋งแค่ไหน"

"คนไทยน่ารัก สมกับที่ทุกคนตั้งให้เป็น แลนด์ ออฟ สไมล์ หรือ ยิ้มสยาม ฝรั่งไม่มีจุดนี้ ความเกรงใจก็ไม่มี (หัวเราะ) อยู่กับคนไทยแล้วสนุก สนานเฮฮา อบอุ่น ไม่เครียด อยู่ที่โน่นอะไรก็ซีเรียสไปหมด ไม่ว่าจะเป็นระบบระเบียบต่างๆ ซึ่งต่างจากไทยที่มีความเป็นกันเอง หลังย้ายไปอยู่นิวยอร์กเริ่มรู้สึกรักเมืองไทยมากขึ้นค่ะ"

แต่ส่วนดีของนิวยอร์กก็มีนั่นคือขยันทำงาน ซึ่งนางแบบสาวเผยว่า "แต่บางครั้งเราก็อยากทำตัวง่ายๆ บ้าง อยู่ที่โน่นตื่นขึ้นมาปุ๊บต้องรีบทำงาน รีบถีบตัวเอง เพราะถ้าหยุดตัวเองปุ๊บก็จะมีคนที่อยู่ข้างหลังวิ่งขึ้นมาแซงหน้าเรา เขาถึงบอกนิวยอร์กเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับ"

2 ปีแรกที่ย้ายไปอยู่นิวยอร์ก งานส่วนใหญ่จะเป็นเดินแบบ ถ่ายแบบ และถ่ายโฆษณา หลังจากนั้นฟลอเรนซ์ก็เลิกเดินแบบเพราะอยากอยู่กับที่ เพื่อลงเรียนคลาสต่างๆ ที่สำคัญมันทั้งเหนื่อยและเหงา เนื่องจากต้องเดินทางไปทำงานคนเดียว

พอได้อยู่กับที่ นางแบบสาวก็มีโอกาสลงเรียนคอร์สการแสดงสั้นๆ เพื่อพัฒนาตัวเอง เนื่องจากเธอเป็นคนชอบการแสดงมาก

"อยู่นิวยอร์กฟลอเรนซ์ก็มีผลงานการแสดงบ้าง โดยมีหนัง 2 เรื่อง คือ PARAMORE ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้ดู ไม่รู้ว่าหนังได้ฉายหรือเปล่า และเรื่อง THE ELEPHANT KING ได้เล่นเป็นนางเอกและมาฉายที่ไทยแล้วเมื่อ 4-5 ปีก่อน และก็เกือบได้แสดงซีรีส์อเมริกาแต่เล่นให้เขาไม่ได้เพราะไม่มีวีซ่านักแสดง เราอยู่อเมริกาโดยใช้วีซ่านางแบบ ซึ่งตอนนี้ก็ทำเรื่องกรีนการ์ดอยู่ค่ะ"

ตอนนี้วางอนาคตตัวเองอย่างไร ฟลอเรนซ์กล่าวว่า "อาจจะกลับมาใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยมากขึ้น หรือย้ายไปอยู่แอลเอ และบินกลับมาไทยมากขึ้น แต่ยังทำงานเป็นนางแบบและสู้ที่จะเป็นนักแสดงต่อไป เพราะเกือบได้เล่นหลายเรื่องแล้ว หวังว่าต่อไปจะได้เล่นหนังและซีรีส์มากขึ้น จุดนี้ทำให้อยากย้ายไปอยู่แอลเอเพื่อจะได้ใกล้วงการหนังฮอลลีวู้ดมากขึ้นค่ะ"

เชื่อว่าอีกไม่นานเกินรอ