Inside Dara
แลกด้วยน้ำตา! กว่าจะเป็นคุณพ่อลูกแฝด

วันพ่อปีนี้ กลายเป็นวันพิเศษกว่าทุกๆปี สำหรับ “คุณพ่อป้ายแดง” หมอโอ๊ค หรือ นายแพทย์ สมิทธิ์ อารยะสกุล หลังจากโอปอล์ ปาณิสรา นักแสดง–ดีเจชื่อดัง คลอดทายาทลูกแฝดหญิง-ชายก่อนกำหนด กว่าสองแขนของผู้เป็นพ่อได้โอบกอดเพื่อถ่ายทอดความรักสู่ลูกแฝดตัวน้อย น้องอลิน ลูกสาว และลูกชาย น้อง อรัญ ทำให้น้ำตาลูกผู้ชายคนนี้ไหลถึง 3 ครั้ง กว่าหนูน้อยจะลืมตาดูโลกและกลับบ้านอยู่พร้อมหน้า พร้อมตาพ่อแม่ลูก “คนดังนั่งคุย” ถือโอกาสได้เปิดใจคุณพ่อลูกแฝดหัวใจแกร่ง กับความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้น

“จริงๆก็ค่อนข้างปนหลายความรู้สึกนะ ถ้าถามนาทีนี้ คงเป็นทั้งแน่นอน ดีใจ เพราะว่าการมีลูกเป็นสิ่งที่วิเศษนะในชีวิตคนคนนึง อย่างที่สอง โล่งใจ กว่าจะผ่านเรื่องราวต่างๆ มันก็หนักที่สุดในชีวิตครั้งนึงเหมือนกัน อันที่สาม กังวลใจในฐานะพ่อมือใหม่เราจะเลี้ยงเค้ายังไง แต่ตั้งใจจะดูแลเค้า ให้ดีที่สุด” เหมือนหมอโอ๊คเตรียมตัวตั้งแต่โอปอล์ท้องเลย “ใช่ครับ อาจจะผสมกันทั้งบทบาทความเป็นพ่อ สามี และความเป็นคุณหมอ พยายามดูแลเองให้มากที่สุด”

ได้ยินมาว่าช่วงน้องมีปัญหา คุณหมอเครียดมากกว่าคนอื่น เพราะจะรู้เคสมากกว่าคนอื่น “จริงๆคงปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่อยากเป็นหมอ ไม่ได้มีความคิดขนาดนั้น แต่บทบาทที่เราเป็นแพทย์ ถูกสอนให้มองสถานะสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ทั้งหมด ดีที่สุดถึงร้ายที่สุด ทุกเหตุการณ์ ต้องยอมรับช่วงสถานการณ์ตอนนั้นคับขันมาก เพราะผมไปตรวจโอปอล์ เจอเค้ามีมดลูก หดรัดตัวครรภ์ประมาณ 23-24 สัปดาห์ ถือว่าเร็วมาก หากปล่อยให้ลูกคลอดตอนนั้นโอกาสรอดน้อยมากในบทบาทความเป็นสามีเราต้องให้กำลังใจเค้า (โอปอล์) ทำเหมือนไม่มี อะไรเกิดขึ้น โอปอล์รับโจทย์หนักต้องนอน รพ. กิจกรรมทุกอย่างต้องนอนราบ ห้ามลุกไปห้องน้ำ ต้องกินนอนบนเตียง ห้ามยืน ห้ามตัวตั้ง มันมีการลอง การที่เรานอนราบผ่อนคลายมดลูกมากที่สุด สุดท้ายโอปอล์ต้องนอนเฉยๆ ผมนับถือน้ำใจเค้ามากในความเป็นคุณแม่ นอนนิ่งๆให้มากที่สุด”

ทั้งที่ชีวิตปกติโอปอล์จะเป็นคนอะเลิร์ท พอต้องอยู่เฉยๆเป็นเรื่องยากสำหรับเค้ามั้ย

“จริงๆ เค้าเป็นเวิร์กกิ้งวูเมนมากกว่า เป็นคนมีความรับผิดชอบเยอะจริงๆโอปอล์เป็นคนนิ่งชอบทำสมาธิ ไม่ชอบความวุ่นวาย แต่เค้าเป็นคนมีความรับผิดชอบเยอะ ภาระเยอะ มีบริษัท ทุกเรื่องจะต้องผ่านเค้า มีบทบาทพิธีกรเป็นตัวเค้าเท่านั้นที่ทำได้เหมือนเค้า ต้องแอ็กทีฟตลอดวลา แต่ครั้งนี้ต้องนอน รพ.เหมือนดึงโอปอล์กลับมานั่งสมาธิ เค้าต้องตัดเรื่องที่ไม่จำเป็นออกไปจากหัวสมองเค้า ผมบอกเค้าคำนึงว่าโลกนี้ไม่มีเราคนนึงมันหมุนต่อได้ เวลานี้เป็น เวลาที่เราจะต้องเห็นแก่ตัวดูแลตัวเองก่อนเพื่อลูก ถึงจะ

ผ่านไปทีละขั้น ซึ่งบอกก่อนเลยว่าไม่ใช่ขั้นที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเลย ทุกขั้นเต็มไปด้วยความรู้สึก ความกังวล และผมว่าโอปอล์เองก็ช็อก ใครๆก็รักลูก มันไม่มีสัญญาณมาก่อนเลย พอมาเราต้องตั้งรับให้ได้ ต้องใช้ความเป็นผู้ใหญ่มากๆ”

ภาวะแบบนั้นคุณหมอมีการเติมพลังให้ตัวเองยังไง เพราะเชื่อว่าสภาพจิตใจคงไม่แตกต่างจากโอปอล์ “ผมมีความเชื่อว่ามนุษย์ทำอะไรก็ได้ มีขีดจำกัดไม่สิ้นสุด มันเสียใจได้ กระวนกระวายใจได้ หรือเลือกที่จะเดินหนีออกไปก็ได้ แต่ว่าเราต้องคิดให้ดี สิ่งที่เราทำอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นี่คือชีวิตของลูกเรา ชีวิตของภรรยา ฉะนั้นเราจะต้องเป็นหลักให้ได้”.

มีแอบร้องไห้บ้างไหม

“ร้องครับ ผมบอกเลย ผมร้องไห้ 3 ครั้ง ร้องครั้งแรกที่รู้ว่าเค้าจะต้องนอนยาว และเรารู้อยู่แก่ใจปล่อยให้ลูกคลอดตอนนี้ไม่ได้ รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ร้องครั้งที่สองตอนที่อาการเริ่มแย่ลง อาการเข้าใกล้การคลอดมากขึ้น พอโอปอล์เริ่มมีอาการแย่ต้องให้ยากระตุ้น อันนี้ร้องไห้เพราะเป็นความกลัว เนื่องจากว่าให้ยาระงับการคลอดเรารู้แล้วว่าผลข้างเคียงมันเยอะมาก หัวใจโอปอล์ทำงานหนักขึ้น ผมรู้แต่มันเลี่ยงไม่ได้ ช่วงนั้นผมกับโอปอล์จะตัดขาดโซเชียลฯ เราต้องอยู่กับตัวเอง ผมกันทุกอย่างออกไป เพราะจะมีทั้งประสงค์ดีและประสงค์ร้ายมากมาย มีทั้งอวยพร ปรารถนาดีและประชดประชัน ที่ด่ามีทั้งโอเว่อร์ ชอบสร้างข่าว เป็นคนดีๆไม่ชอบอยากเป็นผัก ฉันก็มีลูกแฝดไม่เห็นจะต้องทำขนาดนี้เลย คือคุณโชคดีแต่เคสเกิดขึ้นกับครอบครัวของผม ผมพยายามดูแลอยู่ พอเจอแบบนี้มันบั่นทอน แต่ผมปล่อย ผมดึงแต่สิ่งดีๆ 90% เป็นสิ่งดีที่เหลือผมไม่แคร์

โอปอล์เค้าทนมาก ท้องใหญ่เรื่อยๆต้องกินให้มากที่สุด กินจนร้องไห้ กินเพื่อให้ลูกโตเร็วมากที่สุด เพื่อจะได้มีโอกาสรอด นับวันทุกชั่วโมงให้ผ่านไปเร็วๆ จาก 23 สัปดาห์เป็น 24-25-26-27-28 กินเวลาเกือบๆ 2 เดือน จนเกือบ 30 สัปดาห์ ระหว่างทางที่ผมร้องไห้หนักมากครั้งสุดท้าย เพราะโอปอล์เค้ายอมให้ยาโอเว่อร์โดส มาก ปกติยาระงับคลอดให้กัน 3 วัน เพื่อให้ยากระตุ้นการทำงาน ของปอดให้เด็กให้ครบ หมอพยายามยืดอายุครรภ์ให้มากที่สุดก็ให้ต่อไปจนเกือบ 2 เดือน ครั้งสุดท้ายวันที่ผมร้องไห้หนักมากเป็นวันที่โอปอล์บอกว่าเค้าไม่ไหวแล้ว เค้ารู้สึกเหมือนจะจมน้ำ เรา รู้ในใจแย่แล้ว ก่อนหน้าเค้าหัวใจวายไป 2 รอบ แต่ไม่ได้ บอกใคร นาทีนั้นผมตัดสินใจอยากให้ลูกดีด้วย โอปอล์ต้องดีด้วยและอายุครรภ์ดีแล้ว คุณหมอเด็กเริ่มสบายใจ เข้า 30 สัปดาห์ สิ่งนึงที่คุณหมอเคยบอกให้ฟังคุณแม่ด้วยนะ เลยคุยกับคุณหมอฟันธงให้โอปอล์คลอดวันนี้”.

ได้ดูฤกษ์คลอดตามความเชื่อ

“เป็นส่วนประกอบเลย มันอยู่ที่การแพทย์ก่อน ลูกต้องปลอดภัย ฤกษ์ค่อยหากันอีกที แต่บังเอิญตรงกันพอดีในเวลาที่ดีมากๆ คุณหมอทุกคนเตรียมพร้อมหมด ขอบพระคุณเลยคุณหมอ รพ.รามาธิบดี คุณหมอสแตนด์บายอย่างดี จำได้ 28 ก.ย. คุณหมอเด็กมา 4-5 ท่าน เพื่อรับเด็ก 2 คน หมอสูติฯมา 2 ช่วยกันผ่า ถือเป็นวินาทีที่ลุ้น โอปอล์เลือกที่จะไม่สลบ บล็อกหลัง ทั้งผม และเค้าแข็งแกร่งมากๆ ไม่มีใครทำอะไรเราได้ เพราะเราผ่านจุดที่สุดมาแล้ว เค้ามาบอกเราทีหลังว่าที่เค้าตื่นเพราะมีอะไรเกิดขึ้นเค้าอยากอยู่กับเรา ผมก็สัญญากับเค้าตั้งแต่วันแรกที่นอน รพ. สัญญาเลยว่าไม่ว่าผมจะยุ่งแค่ไหนจะมาหาเค้าทุกวัน เพราะห้องคลอดห้ามนอนคู่กันเลยขอเป็นกรณีพิเศษเพราะเค้าต้องอยู่ยาว ถ้ามีโอกาสก็จะเข้าไปหาเจอหน้า กันทุกวันกำลังใจอย่างนึง”

วินาทีพ่อแม่และลูกได้เจอหน้ากัน ใคร ร้องเสียงดังกว่ากัน “ไม่มีนาทีคุณพ่อ คุณแม่คู่อื่นแน่ๆ ที่คลอดออกมาถ่ายรูป อันนี้คลอดออกมาร้องแว้ๆ คุณหมอจัดการใส่ท่อ เข้าห้องปุ๊บเลย เพราะสองคนเกิดมาน้ำหนักจะเล็กกว่าเด็กคนอื่นเพราะเค้าเป็นแฝด คนพี่หนัก 1,200 กรัม คนน้อง 1,060 กรัม ยังไม่ได้กอด เรา ดีใจลูกปลอดภัย เป็นการตัดสินใจ เหตุผลและประสบการณ์ พอพ้นอันนั้นผมโล่ง จากนั้นไม่มีน้ำตาสักหยด ส่วนโอปอล์ฟื้นตัวเร็วมาก คลอดวันนั้น ช่วงบ่าย 3-4 เริ่มขยับเท้า และบอกอยากทานข้าว แต่หมอ บอกยังไม่ได้ ต้อง 12 ชม. พอเริ่มให้ทานซุปได้โอปอล์ทานหมดเลย และขอเป็นข้าวผัด (หัวเราะ) เค้าชอบกินข้าวผัดหมูมาก กินหมดเลย เป็นเหมือนอาหารปลอบใจ หมอยังตกใจฟื้นเร็วมาก วันรุ่งขึ้น โอปอล์ลุกเลยเค้าบอกว่าแว้บแรกที่เหยียบพื้นร้องไห้เหมือนไฟดูดเท้า ค่อยๆทีละนิด ก็เดินได้เลยเพราะด้วยความอยากไปดูลูก เป็นพ่อแม่คนอื่นอาจจะร้องได้เพราะลูกตัวเล็กมากตัวเท่าไก่ย่างห้าดาว (เปรียบเทียบซะเห็นภาพ)”.

ได้ยินว่าน้องตัวเล็กโดยเฉพาะคนพี่แสบไม่เบา

หมอโอ๊คหัวเราะ “ใช่ครับ สองคนนี้ออกมาเป็นแฝดหญิง-ชาย หญิงพี่ ชายน้อง อลินกับอรัญ อลินจะมีความ เป็นตัวเองมากชัดเลย เธอจะมีเวลาเป็น ของตัวเองจะกินเวลานี้ จะนอนตอนนี้ ใครจะไปบังคับ โอ้ๆไม่เอาปัดทิ้ง มีแค่ผมกับโอปอล์อุ้มเค้าถึงยอม คุณพยาบาลจะฟ้องตลอดลูกไม่ฟังเลยนะคะ (หัวเราะ) ไม่สนใจ ดื้อ ร้องไม่ร้องโยเยแต่ร้องหงุดหงิด ไม่ชอบ ให้คนมาเล่นมาจี่” แถมอลินมีชักสีหน้าใส่เป็นแล้ว ด้วย “เรียกว่ามีความเป็นคุณแม่มากๆ มีความเด็ดเดี่ยว เห็นตั้งแต่ตัวแค่นี้ หน้าเหมือน นิสัยก็เหมือน แต่ไขว้เรื่องผิวกันนิดนึง เป็นโอปอล์แต่ผิวขาว ผมทองๆนิดนึง มาทางบ้านผมสีจะอ่อนหน่อยนึง อรัญ ถอดหน้าผมตอนเด็กมา 100% เลย แต่ผิวจะคล้ำ นิสัย ก็เหมือนผม ไม่ดื้อ ไม่งอแง ให้กินก็กินให้นอนก็นอน ลูกสาวเวลานอนเชยคางนอนบิดไปบิดมา ส่วนผู้ชาย จะนอนนิ่งๆ นอนยิ้มเหมือนผมเด๊ะ”

คุณพ่อคุณแม่ แอบขำพฤติกรรมลูกสองคนบ้างมั้ย “ดีใจทุกครั้งที่เจอเค้า เข้าใจแล้วพ่อแม่ทำไมถึงได้ตายแทนลูกได้ ทำไมถึงอุทิศเวลาให้กับลูกได้ เพราะเค้าคือส่วนหนึ่ง ของเรา เค้าเอาส่วนหนึ่งของเราไปกับอีกคนนึงที่เรารักไปรวมกัน เพราะฉะนั้นเค้าคือหัวใจของเราที่ออกมาอยู่ข้างนอก เป็นห่วงจริงๆนะ ต่อไปนี้ไม่ใช่ แค่ตัวเรา ทำอะไรต้องนึกถึงสองคนนี้” การเลี้ยงลูกแบ่งหน้าที่กันยังไงบ้าง “ผมกับโอปอล์ตั้งใจดูแล กันเอง มีพี่เลี้ยงแต่เป็นแค่ผู้ช่วย ผมเชื่อรากฐานสำคัญ ของเด็กก็คือพ่อแม่ ต่อให้ทำงานเรารับเท่าที่จำเป็นเราก็อยู่กับเค้าให้มากที่สุด โอปอล์ปั๊มน้ำนมเก็บใน สต๊อก นับถือเค้าขนาดลูกแฝดน้ำนมยังพอทุกมื้อ เก่งมากและลดน้ำหนักได้ดีมาก ลดอาหาร ตัดอาหาร ไม่มีประโยชน์ ขนมอะไร ลดไปเร็ว 10โล”.

การมีลูกถือว่าเป็นการเติมเต็มให้ครอบครัวสมบูรณ์

“ผมไม่เคยคิดครอบครัวเราขาดอะไร อยู่ด้วย กันสองคนก็เต็มในแบบสองคน เพิ่มขึ้นมา ตอนแรก คิดว่าเป็น 3 แต่อันนี้มาเป็น 4 ก็สมบูรณ์ในตัวมัน ไม่ว่าจะมีกี่คนก็เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ได้” เวลาของสามีภรรยา “จริงๆ ก็เราเป็นคู่ตัวติดกันทีมเดียวกัน เป็นลักษณะคู่คิด คู่ชีวิตจริงๆ มีอะไรผมปรึกษาเค้าตลอด เราเป็นคู่ที่ไปด้วยกันทุกที่ เป็นคู่คิด คู่ชีวิตเป็น เหมือนคนคนเดียวกัน” ผ่านช่วงชีวิตที่ยากที่สุดเรื่อง ลูกทำให้รักกันมากขึ้นไหม “รักกันมากขึ้น ตอนนั้น เรารู้สึกเป็นสามีภรรยาที่รักกัน แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเราเป็นคนเดียวกัน ไม่มีอะไรต้องสงสัยนี่คือชีวิตเป็นคนที่เอาชีวิตเค้าแลกเพื่อลูกทั้งคู่อุทิศทุกอย่างเพื่อครอบครัวของเรา”.