Inside Dara
“บอย ปกรณ์” กับมุมเศร้า ที่เราไม่เคยรู้!

""บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์"" ซุป’ตาร์สุดเกรียน อารมณ์ดี มีหนวดเป็นเอกลักษณ์ และเราเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศรู้จักเขา และคุ้นตาเขาในภาพสนุกสนาน กับภาพที่เจอใครทักก็ยิ้ม และที่สำคัญบอย ยังเป็นพระเอกขวัญใจสื่อมวลชน คุณสมบัติครบครันขนาดโลกสีสวย ฉบับพิเศษในอาทิตย์นี้เราขอยกพื้นที่ให้ ซึ่งหนุ่มบอย เต็มอกเต็มใจที่จะมาเปิดใจถึงมุมอื่น ๆ ในชีวิตที่บางครั้ง บางคราวก็ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ ไม่ให้ใครรู้….แต่จะเป็นเรื่องอะไรนั้นต้องไปติดตามอ่านกันเลย

ด้วยภาพบอยเป็นพระเอกสุดเกรียน จริง ๆ มีมุมเศร้ากับเขาบ้างไหม?

“ก็มีนะครับ ความจริงผมก็เป็นเหมือนคนปกติทั่วไปนะ ถ้าคนที่รู้จักผมจริง ๆ จะรู้ว่าผมเป็นคนค่อนข้างคิดมาก ซีเรียสซะด้วยซ้ำ มีมุมซีเรียสเยอะ เป็นคนขี้นอยด์ มีมุมวิตกกังวลมากกว่ามุมสนุกอีก เพียงแค่เวลาเราใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่น ทำงานหรืออยู่ร่วมกับคนอื่นเราก็อยากที่จะให้คนอื่นสนุกสนานด้วย เหมือนกับว่าผมมี 2 ด้านคือด้านที่สนุกกับด้านที่เครียด ๆ แต่คนจะชอบถามว่าชีวิตผมเศร้าเป็นด้วยเหรอ ผมเคยเครียดไหม เหมือนกับว่าคนจะนึกว่าผมมีมุมสนุก 90 เปอร์เซ็นต์ แล้วมุมเศร้า 10 เปอร์เซ็นต์ แต่จริง ๆ แล้วมัน 50 : 50 แต่ว่าเวลาที่ผมวิตกกังวลมันจะเห็นกันแค่กลุ่มคนที่เราสนิทหรือเวลาที่เราอยู่คนเดียว ไม่ค่อยแสดงออกมาก”

เวลาเศร้าบอยจะเหมือนถ่ายเอ็มวีเลยหรือเปล่า?

“(หัวเราะ) ไม่ถึงขนาดนั้น ถ้าคนที่รู้จักจะรู้ อย่าง พี่แดง ( ธัญญา วชิรบรรจง) พี่อ๊อฟ (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) หรือแม่ จะจับความรู้สึกได้ คือไม่ถึงกับนั่งเศร้า แต่จะเหม่อนิดนึง เงียบ ๆ ไม่เล่นเหมือนที่เคยเล่น ดูแปลก ๆ ผิดปกติไป แต่ไม่ใช่ว่านั่งหน้ามุ่ยขนาดนั้น แค่อาจจะไม่สนุกเท่าที่ควร เท่าที่เคยเป็นเขาจะรู้เลยว่าเรามีอะไรหรือเปล่า”

แล้วจริง ๆ บอย เซ้นซิทีฟกับเรื่องอะไรมากที่สุด?

“มี 2 เรื่องครับ คือเรื่องงาน กับเรื่องความรู้สึกของคนรอบข้าง เรื่องอะไรที่มันต้องรับผิดชอบเยอะ ๆ อย่างเมื่อก่อนเรียนก็จะเป็นเรื่องเรียน แต่ตอนนี้ทำงานแล้วก็จะเป็นเรื่องงาน แล้วก็ความรู้สึกของคนที่เรามีความสัมพันธ์ด้วย หรือคนรอบข้างเรา ก็จะนอยด์ว่าเขารู้สึกยังไงบ้าง หรืองานออกมาจะเป็นยังไงบ้าง เป็นคนขี้กังวล”

จริง ๆ แล้ว บอย มีมุมแบดกับเขาบ้างไหม?

“ก็มีครับ ผมว่ามันเป็นเรื่องปกติ คือ ส่วนใหญ่คนที่มองภาพ บอย-ปกรณ์ว่าเป็นคนเฮฮา สนุกสนาน เข้าถึงง่าย แต่ความจริงผมก็เป็นเหมือนคนปกติทั่วไป ผมก็มีทั้งมุมสนุกและมุมซีเรียส ส่วนทางด้านมุมแบด ๆ ของผม ผมก็เป็นคนธรรมดา บ้า ๆ บอ ๆ คนหนึ่ง มุมที่ว่าอาบน้ำไม่อาบน้ำ นี่มันมีเป็นประจำอยู่แล้ว บางทีกลับบ้านมาเหนื่อย ๆ แค่แปรงฟัน ล้างหน้า นอน บางคืนถ้าง่วงมาก ๆ ไม่แปรง ไม่ล้างแล้ว หลับคาเตียงทั้งชุดนั้นเลยก็มี ก็เป็นธรรมดา”

แล้วมุมแหย่ มุมชอบแกล้งมีไหม?

“อันนี้ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้ว มันเป็นนิสัย เหมือนโรคจิต เวลาเราแกล้งคนอื่นแล้วเห็นเขามีปฏิกิริยาก็มีความสุข ดูแล้วมันสนุก อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ)”

ถามในมุมขำ ๆ บ้าง ทำไมปกรณ์ ต้องมีหนวดตลอดเลย?

“มันก็ถือว่าเป็นซิกเนเจอร์ของผม เวลามีคนเห็นหนวด เขาจะนึกถึงความสนุกสนาน คนชอบถามว่าผมโกนหนวดไหม ทำไมไม่โกนบ้าง แต่นี่ก็ถือว่าเตียนมากแล้วนะ อีก1-2 วันก็ขึ้นมาใหม่ เพียงแต่ว่ามันก็ยังมีคาแรกเตอร์ที่ผมยังเล่นตรงนี้ได้อยู่เพียงแต่ว่า งานมันก็ต่อเนื่องคอนตินิวเข้ามาเรื่อย ๆ วันหนึ่งถ้ามีบทที่ผมจะต้องโกนออกก็ยินดี ทำได้ไม่ใช่เรื่องซีเรียสอะไร แต่ถามว่าเป็นซิกเนเจอร์ของผมไหมมันก็เป็นเพราะคนก็จำได้ว่าเป็นพระเอกคนเดียวที่มีหนวด”

ขอถามเรื่องน้องวันใหม่นิดนึง เขาบอกว่าวันใหม่กลายเป็นขวัญใจมหาชนไปแล้ว แต่มุมกลับกันเขาก็บอกว่าน้องเป็นลูก บอย-ปกรณ์ เรารู้สึกยังไง?

“คือ มันมีความเป็นไปได้ที่คนจะรู้สึกแบบนั้น เพราะว่ายิ่งพอเขาเริ่มโตหน้าเขายิ่งเหมือนคนในบ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ บางทีก็เหมือนผมบ้าง เหมือนแม่บ้าง ผมว่ามันก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดเหมือนกัน เพราะว่าตอนที่เอาเขามาใหม่ ๆ หน้าเขาไม่ได้คล้ายคนในบ้านเท่าไหร่ แต่พอยิ่งเลี้ยง ยิ่งโตหน้าเขาก็เหมือนคนในบ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็มีคนสงสัยมีคนมาถามเหมือนกันว่าตกลงเป็นลูกที่แอบซุกไว้หรือเปล่า ซึ่งเรื่องพวกนี้ถ้ามีคนสงสัยจริง ๆ มันสามารถยืนยันด้วยผลเลือดหรือว่าอะไร ได้อยู่แล้ว ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรครับ แต่มันเป็นเรื่องประหลาดจริง ๆ ที่คนพออยู่กับครอบครัวเราหน้าก็คล้ายคนในครอบครัว มันขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมด้วย”

มาถึงเรื่องความรักบ้าง ตอนนี้ถูกจับตามอง เครียดหรือเปล่า?

“ความจริงตอนนี้ผมกับคนที่ผมคุยด้วย ก็ยังเพิ่งเริ่มต้น ยังแบบเพื่อนกันอยู่ บ้านเขาอยู่ไหนผมยังไม่ทราบเลยครับ (หัวเราะ) เรื่องการพัฒนายังเป็นเรื่องของอนาคตอีกยาวไกลเลย อยู่ในขั้นตอนของการคุยกันของสองคนที่ทำความรู้จักกัน ศึกษานิสัยใจคอกัน พอกระแสโหมเข้ามาก็ดูเหมือนว่า ความสัมพันธ์ของผมกับเขา พัฒนาไปแล้ว คนก็จะถามว่าเป็นแฟนกันหรือยัง ซึ่งความจริงก็ต้องบอกว่ายัง เพราะมันเพิ่งเริ่มต้น แต่ก็ยังไม่ได้มีอะไร แค่กระแสข่าวมันกระจายออกไปเร็วเท่านั้นเอง”

ดูเหมือนว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะทุกคนก็อยากเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?

“อาจจะเป็นเพราะว่าผมโสดมานานก็ได้ แล้วคนก็คอยเชียร์ให้ผมมีแฟนมานานแล้ว พอเปิดตัวว่ามีคนคุยแล้ว คนก็เลยให้ความสนใจและจับตามอง”

ที่ผ่านมาคนก็มองว่าเราเจ้าชู้ มีข่าวกับผู้หญิงเยอะเหมือนกัน แต่ตอนนี้ดูเบาบางลงไปเยอะ?

“ไม่หรอก คือความจริง จุดเริ่มต้นมันคงเป็นด้วยเพราะตอนที่ผมเข้าวงการใหม่ ๆ ผมมักจะได้รับบทเจ้าชู้ ตบจูบ เป็นเพลย์บอย มีหนวดมีเครา มันก็ทำให้เป็นกระแสข่าว และด้วยมาดของผมก็ดูเป็นแบดบอยมันก็เลยมีข่าว ทำนองว่าผมคุยกับคนโน้น คบกับคนนี้ แต่ถ้าถามผมผมก็ไม่ซีเรียสนะครับ อย่างแรกเลยคือการที่ผู้ชายคบกับผู้หญิงมันเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร แต่ส่วนใหญ่ที่ผมมีข่าวกับใครก็ไม่ใช่เรื่องจริง เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ไม่มีอะไร ก็เป็นเพื่อนเป็นพี่น้องกัน ที่สำคัญคือ มีข่าวกับผู้หญิงดีกว่ามีข่าวกับผู้ชาย (หัวเราะ)”

อย่างนี้พอทำอะไรแล้วคนจับตามองรู้สึกว่าต้องใช้ชีวิตระมัดระวังกว่าคนอื่นไหม?

“เรื่องความระมัดระวังมันก็มีอยู่แล้ว คือ พอเราเข้ามาทำงานตรงนี้ อาชีพนักแสดงคือบุคคลสาธารณะ ซึ่งคนทำงานตรงนี้ก็ต้องยอมรับและรับได้อยู่แล้วว่าความเป็นส่วนตัวต้องน้อยกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ผมว่ามันก็ต้องแลก เพราะมันเป็นงานและเป็นอาชีพ ซึ่งผมก็ทำงานตรงนี้มา 6 ปีแล้วก็เริ่มชินกับสิ่งที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้ ตอนแรก ๆ อาจจะมีคนรู้จักเราไม่เยอะ จนมาวันนึงคนรู้จักเรามากขึ้น เราก็ค่อย ๆ ปรับตัวไป อย่างที่พี่ถามว่าพอถูกจับตามองเรื่อย ๆ อึดอัดไหม มันก็ไม่ได้อึดอัดอะไร เพราะเราก็เคยชินแล้ว คือ เรารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างมีความสุขมากกว่า”

ทุกวันนี้ถือคติว่า?

“คือ ถ้าอะไรเกิดขึ้นมาแล้วเราไปต้านมัน ชีวิตเราก็คงไม่มีอะไรที่มีความสุข ชีวิตก็จะมีแต่มุ่งไปว่าเราจะต้านมันยังไง แต่ถ้าเราปรับตัวแล้วลื่นไหลไปกับมัน แล้วทำตัวให้มีความสุขกับมันจะดีกว่า คือผมรู้สึกแบบนั้นนะครับ”

แล้วถ้าไม่มาเป็นนักแสดง คิดว่าวันนี้จะทำอาชีพอะไร?

“ก็คงเป็นเภสัชกรตามที่เรียนมา ตรงนั้นก็เป็นสิ่งที่เราก็ยังไม่ทิ้ง ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปทำครับ”

ยังจัดยาได้อยู่เหรอตอนนี้?

“พอได้ครับ”

เคยคิดเล่น ๆ ถึงวันที่เราต้องลงจากจุดนี้หรือยัง?

“ก็เคยเหมือนกัน ผมว่ามันเป็นธรรมดาของคนที่ทำงานตรงนี้ มันเป็นสัจธรรมทุก ๆ วงการ มันมีขึ้นมีลง มีมาแล้วก็มีไป ก็มีคิดบ้างคร่าว ๆว่าวันนึงอีกกี่ปีข้างหน้า เราอยากทำอะไรบ้าง แต่หลัก ๆ ตอนนี้ก็เป็นนักแสดง แล้วก็มีทำธุรกิจส่วนตัว คือ เปิดร้านโฟร์ทเซ่นโยเกิร์ต ชื่อว่า “ปาร์ตี้แลนด์” ที่สยามพารากอน ร่วมกับมาร์กี้-ราศรี บาเล็นซิเอก้า และหุ้นส่วนคนญี่ปุ่น จริง ๆ มันก็ถือว่าเป็นอาชีพเสริม แต่ว่าเราก็ไม่ได้ไปยึดเอาอะไรมาก ลองทำเพื่อเอาคอนเนคชั่นเอาประสบการณ์และเป็นการวางรากฐานของเราในอนาคต ตอนนี้เราก็ยังมีความสุขกับการเป็นนักแสดงก็ยังทำหน้าที่ตรงนี้อยู่”

คิดว่าตัวเองมาถูกทางไหมกับการเลือกเส้นทางนี้?

“ผมว่าก็โอเคนะครับ ผมก็สนุกกับมันดีแล้วก็รู้สึกว่าผมค่อนข้างปรับตัวกับงานตรงนี้ได้ ค่อนข้างมาก เข้าใจกับมันค่อนข้างมาก”

อยู่วงการมา 6 ปี เราได้เรียนรู้อะไรจากวงการนี้บ้าง?

“มันก็เยอะนะครับ แต่ผมว่ามันต้องมีอยู่ในทุก ๆ วงการคือความพยายาม มีความรับผิดชอบ ความรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักรุ่นพี่รุ่นน้องมันต้องมีอยู่ในทุก ๆ ที่ ผมว่ามันสำคัญมาก”

สำหรับบอย วันนี้แล้วถือว่าประสบความสำเร็จหรือยัง?

“ยังครับ คนจะชอบมาถามว่าผมประสบความสำเร็จหรือยัง จะบอกเลยว่ายังครับ ผมว่ามันเหมือนกำลังเริ่มต้น ถ้ามองง่าย ๆ วันนี้อยู่ในกองมีพี่เคน พี่อ๊อฟ พี่อนันดา คนพวกนี้เขาผ่านอะไรมาเยอะ อย่างพี่อ๊อฟผมถือว่าเขาประสบความสำเร็จสูงสุด อย่างเขาทำละครเรื่องล่าสุดทองเนื้อเก้าแล้วเขาได้รางวัลมาเขาก็บอกว่าได้รับรางวัลแล้วเราก็ดีใจ แต่มันก็ผ่านไป เดี๋ยววันพรุ่งนี้เราก็ต้องมาทำงานใหม่แล้ว ใคร ๆ ก็นับถือเขาเพราะความสามารถ ตัวเขาเองก็ยังคิดว่าเขาก็ยังสามารถพัฒนาตัวเองไปได้เรื่อย ๆ ทุกคนต้องพัฒนา หยุดไม่ได้”

สุดท้าย ขอคำนิยามของคำว่า บอย-ปกรณ์ หน่อย?

“ถามผมใช่ไหม ผมก็จะบอกว่าผมเป็นคนง่าย ๆ เป็นคนสบาย ๆ นี่คือปกรณ์ ครับ”

วันนี้เราได้รู้จัก ซุป’ตาร์ที่ชื่อว่า บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ เพิ่มขึ้น และมันเหมือนยิ่งตอกย้ำให้เรารู้ว่าความเป็น ซุป’ตาร์ ตัวจริงนั้น บอย-ปกรณ์ มีเกิน 100 จริง ๆ เพราะว่าคำว่าคนของประชาชนนั้น ผู้ชายคนนี้ทำได้ดีที่สุด จึงไม่แปลกใจว่าทำไมคนไทยถึงรัก บอย-ปกรณ์.