Inside Dara
ทำไมใครๆ ก็ตามหา! ‘เบสท์ อรพิมพ์’ นักพูดขวัญใจคนไทย

หลังจากมีกระแสข่าวว่า ‘เบสท์-อรพิมพ์ รักษาผล’ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจชื่อดัง ถูกสถานทูตสหรัฐฯ ในไทยปฏิเสธในการขอวีซ่า ทำให้ต้องยกเลิกการพูดเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในนครลอสแอนเจลิส ก็ต่างทำให้ชุมชนชาวไทย และชาวอเมริกันที่หวังรอฟังรู้สึกผิดหวังไปตามๆ กัน

หากใครเอะใจชื่อฟังดูคุ้นๆ นึกไม่ออกว่าเธอคนนี้เป็นใครกัน เราจะบอกให้ว่า เธอคนนี้เป็นอีกหนึ่งนักพูดแถวหน้าของเมืองไทยที่สร้างปรากฏการณ์ให้คนฟังร้องไห้ และมีความสุขไปกับเธอได้พร้อมๆ กัน เรียกทั้งน้ำตา และเสียงหัวเราะ ด้วยเพียงคำพูดไม่กี่คำ ซึ่งหลังจากที่ในหลวง ร.9 สวรรคต ใครๆ ต่างก็เชื้อเชิญให้เธอไปพูดถึงพระราชกรณียกิจต่างๆ และการสูญเสียครั้งประวัติศาสตร์นี้มากมาย ไม่เว้นแม้แต่คนไทยที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศก็เช่นกัน

และวันนี้ ไทยรัฐออนไลน์ จะพาไปทำความรู้จักเธอที่เป็นกระแสอยู่ในตอนนี้ เธอเป็นใคร มาจากไหน ทำไมใครๆ ก็ตามหาเธอ และอยากฟังที่เธอพูดสักครั้งในชีวิต รับรองว่า คุณอ่านแล้วก็อยากเปิดใจฟังเรื่องราวดีๆ จากเธอเหมือนกัน ไม่มากก็น้อยล่ะ!

1. อรพิมพ์ รักษาผล สาวร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มคนนี้เกิด และเติบโตที่จังหวัดชุมพร ปัจจุบันมีอายุ 30 ปี เธอเป็นหนึ่งในนักพูดขวัญใจชาวไทย มีฉายาว่า นักพูดล่าความกตัญญู และนักพูดร้อยศพ

2. จุดเริ่มต้นของเส้นทางนี้ เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนเธออายุ 13 ปี โดยคุณครูของเธอนั้นเป็นคนผลักดัน และให้การสนับสนุน ไม่ว่าจะประกวดเวทีไหนๆ อย่างพูดสุนทรพจน์ บรรยายธรรม หรือโต้วาที เธอก็สามารถกวาดรางวัลมาได้หมด ซึ่งเรื่องแรกบนเวทีแรกที่เธอหยิบมาพูด คือเรื่องพ่อประจำบ้าน (พระคุณของพ่อ) และเมื่อเธอมีโอกาสพูดในหลายๆ ที่ ก็ทำให้สั่งสมประสบการณ์ด้านการพูดมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นนักพูดล่ารางวัล

3. รู้หรือไม่? รางวัลที่เธอได้รับมีเยอะมายมาย อาทิ เยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ปี 2546, เยาวชนดีเด่นสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปี 2545, รางวัลนักเรียนพระราชทาน, ลูกกตัญญูดีเด่นแห่งชาติ 2551 และวิทยากรดีเด่นระดับชาติ

4. ถามถึงฉายา 'นักพูดร้อยศพ' มาจากไหน ? หากหลายคนยังไม่รู้ ฉายานี้ได้มาจากที่เธอเคยไปพูดตามงานศพต่างๆ โดยหลังจากที่เธอได้รับรางวัลเยอะมากมาย ก็ทำให้ตัวเองเปลี่ยนความรู้สึกที่ว่า น่าจะดีกว่าถ้าเปลี่ยนเป็นการพูดในแนวทางสร้างแรงบันดาลใจ หรือสร้างจิตสำนึกให้คนแทน นั่นเลยชักจูงเธอให้ไปพูดตามงานศพต่างๆ ถึงเรื่องของพระคุณพ่อแม่ เป็นการให้มุมมองคนฟังว่า สำหรับคนที่ยังอยู่จะต้องทำอะไรหลังจากนี้ เพื่อทำให้คนที่จากไปไม่เป็นห่วง และจะทำอะไรเพื่อไม่ให้สายไปต่อคนที่รักเรามากที่สุด

5. นอกจากนี้แล้ว เธอยังเคยถูกเชิญให้ไปพูดในสถานพินิจต่างๆ หรือในคุกบ้าง เพื่อเปลี่ยนมุมมอง สร้างแรงกระตุ้น-แรงจูงใจใหม่ๆ ให้คนเหล่านั้น ซึ่งทุกที่ที่ไปเธอจะพูดถึงเรื่องความกตัญญู และพระคุณของพ่อ-แม่เป็นหลัก จนเธอนั้นได้รับอีกหนึ่งฉายาว่า ‘นักพูดล่าความกตัญญู’

6. สำหรับจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอเริ่มพูดถึงในหลวง ร.9 บนเวทีต่างๆ เป็นเพราะย้อนกลับไปเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว เธอได้รับถ้วยพระราชทานของพระองค์ อีกทั้งวันหนึ่งเธอได้มีโอกาสศึกษาพระราชกรณียกิจต่างๆ และรู้สึกประทับใจ ซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดมิได้ ว่าพระองค์ทรงงานหนักขนาดไหนเพื่อประชาชน พลางคิดว่า ทำไมเวลาหยิบยกเรื่องใดมาพูดจะต้องไปอ้างตัวอย่างมาจากที่ไหน อย่างชาวต่างชาติที่เก่งๆ หรือนักปราชญ์ทั้งหลาย ทั้งๆ ที่จริงแล้วเราทุกคนมีตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่มากอยู่แล้ว นั่นคือในหลวง ร.9 ตั้งแต่นั้นเลยทำให้เธอเริ่มมาพูดให้คนฟังถึงเรื่องราวของพระองค์จริงๆ ตระหนักให้รู้ว่าทุกคนโชคดีแค่ไหน และอย่าหลงลืมที่จะตอบแทนความโชคดีนี้ที่ได้เกิดมาในยุคพ่อหลวง ร.9 บนแผ่นดินไทย

7. พระราชกรณียกิจกว่า 4,000 โครงการ ทั้งชั่วชีวิตก็คงเรียนรู้ไม่หมด ทว่าเธอก็ได้เรียนรู้ในมุมมองที่อยากไปถ่ายทอด พระองค์ทรงอยู่ใกล้ตัวทุกคนมาก ซึ่งเธอจะศึกษา และเอามาพูดในเชิงวิเคราะห์สามารถทำให้คนฟังสัมผัสได้ และซาบซึ้งในทุกสิ่งอย่างที่พระองค์ทรงทำ ทุกคนสามารถสัมผัส และรับรู้ได้ถึงความห่วงใยนั้น มันไม่ใช่นิยาย หรือสิ่งที่เขียนเกินจริง หากแต่ทั้งหมดทั้งมวล มันเป็นเรื่องจริง! สิ่งเหล่านี้เธอเผยว่า มันกระทบใจคนฟัง และกลายมาเป็นคลื่นพลังมหาศาล เป็นพลังแห่งความจงรักภักดี และเป็นที่มาของการร่วมใจกันทำความดีไปโดยปริยาย

8. หลังในหลวง ร.9 สวรรคต ตั้งแต่นี้ตลอดระยะเวลาที่เธอมีชีวิตอยู่ เธอตั้งใจไว้ว่า จะมุ่งทำความดี เดินตามรอยพระองค์ต่อไป และถวายงานด้วยการใช้ภาษาสื่อสารที่เป็นพรสวรรค์ เธอจะบอกเล่าพระราชกรณียกิจต่างๆ ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ ว่ามันคือความโชคดีแค่ไหน และเราทุกคนจะตอบแทนความโชคดีเหล่านี้ได้อย่างไร

9. หากแต่ล่าสุดก็มีเรื่องให้น่าผิดหวัง เมื่อสถานทูตสหรัฐฯ ในไทยปฏิเสธการให้วีซ่าของเธอ ทำให้เธอต้องยกเลิกการพูดเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจต่างๆ ของในหลวง ร.9 ให้ชาวไทย และชาวอเมริกันใน 4 เมืองใหญ่ของนครลอสแอนเจลิสได้ฟังกัน โดยตามวันเวลาที่นัดหมายไว้นั้น เธอจะต้องเดินทางไปนครลอสแอนเจลิสวันที่ 3 ธ.ค. และที่เมืองบอสตัน วันที่ 5 ธ.ค. นี้

ทั้งนี้ ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายไม่น้อย เพราะชุมชนชาวไทยในสหรัฐฯ อยากฟังกันมาก และเชื้อเชิญเธอมาพูดในครั้งนี้ รวมถึงคณะกรรมการเองก็ได้ร่วมมือกันจัด และกำหนดให้เข้าฟังฟรีโดยไม่มีการเสียค่าเข้าแต่อย่างใด ทว่าสุดท้ายก็เป็นอันต้องยกเลิก แต่เรื่องเป็นมาอย่างไรอย่าเพิ่งสรุปว่าใครผิด รอความจริงเปิดเผยกัน.