Inside Dara
เบื้องหลังที่ไม่มีใครรู้ พรีม รณิดา น้องสาวแสนดีดูแลพี่ชายป่วยเป็นดาวน์ซินโดรม

นับว่าเป็นนางเอกละครช่อง 3 ที่อายุน้อยที่สุด สำหรับนางเอก พรีม รณิดา เตชสิทธิ์ กับผลงานเรื่องล่าสุด ทางผ่านกามเทพ มาวันนี้บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ได้มีโอกาสนั่งคุยกับนางเอกคนเก่งแบบเปิดใจอย่างหมดเปลือก ถึงการทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย จนไปถึงเรื่องครอบครัว ที่มีพี่ชายเป็นดาวน์ซินโดรม ซึ่งเจ้าตัวก็พร้อมที่จะเปิดใจพูดคุยทุกเรื่อง...

ตอนเด็กเป็นคนยังไง ซนไหม? "ตอนเด็กเป็นเด็กเงียบๆ นะคะ คือมันก็จะมีความซนตามประสาเด็กๆ แหละ แต่จะอยู่ในระดับที่พอดี จะเป็นคนชอบนั่งและสังเกตมากกว่า จะเป็นคนที่โตกว่าวัยตั้งแต่เด็ก อย่างตอนเด็กแม่จะซื้อเครื่องดนตรีของเล่นเด็กให้ พรีมก็จะเป็นนักร้องนำและมีขาไมค์เป็นของตัวเอง และจะร้องเพลงตามคอนเสิร์ตที่เราเปิดดูในทีวีค่ะ ส่วนพี่ชายจะเป็นคนเล่นกีตาร์ และชอบเล่นเป็นเจ้าหญิง รักสวยรักงาม เอาผ้าห่มมาห่อเป็นกระโปรงยาวๆ สวยๆ ค่ะ"

มีพี่น้อง 2 คน? "มีพี่น้อง 2 คนค่ะ พรีมเป็นน้องคนสุดท้อง จะมีพี่ชาย ถามว่าพี่หวงมั้ย ก็มีบ้างค่ะ พี่ชายเป็นดาวน์ซินโดรมค่ะ เค้าก็จะมีหวงบ้าง เค้าก็จะคอยถามว่าวันนี้พรีมไปไหน อย่างพรีมจะออกจากบ้านตั้งแต่เช้ากลับอีกทีก็คือดึกๆ เลย เค้าก็จะมีถามต้องทำงานตอนดึกมั้ย ตอนดึกของเค้าก็คือ ทำงานตั้งแต่ตี 5 ออกจากบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เค้าก็จะแบบถามว่า ต้องตื่นมืดมั้ย วันนี้กลับบ้านกี่โมง เค้าก็จะคอยถามเรา"

ตอนเด็กๆ เรามีฉายแววไหมว่าจะได้เป็นนางเอก? "พรีมไม่เคยคิดเลยค่ะ คือจริงๆแล้วตัวเองเป็นคนที่มีหัวไปทางศิลปะ ด้านสายนี้มาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว จะมีความคิดสร้างสรรค์เป็นของตัวเอง จะชอบแต่งนิยายแล้วตอนสมัยประถมจะมีละครท้ายปีของชั้นเรียน พรีมก็จะเป็นคนคิดบทให้เขียนบทให้กับห้องตัวเองค่ะ จริงๆ แล้วหนูเป็นคนชอบแสดงออก ชอบร้องเพลงแต่จริงๆ แล้วพรีมรู้สึกตัวเองเป็นเด็กขี้เขินมาโดยตลอด เวลาเจอคนเยอะจะไม่กล้า ชอบอยู่ในมุมของตัวเองเงียบๆ ค่ะ ไม่เคยคิดถึงว่าสักวันหนึ่งจะมาเป็นนักแสดง"

เข้าวงการมาได้ยังไง? "พรีมเพิ่งย้ายมาอยู่เมืองไทยได้ไม่นานค่ะ ตอนนั้นเพิ่งอายุ 13 ค่ะ ตอนที่ย้ายมาประมาณ 10-11 ขวบค่ะ ตอนเด็กๆ ใช้ชีวิตอยู่ที่อิตาลีมาตั้งแต่เด็กจนถึง 10 ขวบค่ะ แล้วก็ตอนนั้นเป็นวันสงกรานต์แล้วพรีมจะซื้อของกลับบ้านค่ะ ก็ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตนี้แหละ แล้วผู้จัดการเค้าก็มาเจอ ก็เข้ามาทักและคุยกับแม่ ซึ่งสมัยนั้นพรีมยังพูดภาษาไทยไม่ค่อยได้เลยค่ะ และยังฟังไม่ค่อยออกเลย ก่อนหน้านี้ก็เคยมีนะคะ พรีมไปเดินเยาวราชและเจอเค้าก็เข้ามาทัก ซึ่งตอนนั้นพรีมเองก็ยังไม่รู้สึกสนใจขนาดนั้น อย่างวัฒนธรรมเมืองนอกเค้าจะไม่ค่อยได้สนับสนุน ไม่ค่อยมีอะไรที่เข้าถึงตัวได้มากเท่ากับเมืองไทย ตอนนั้นเราก็ไม่เอา ไม่เป็นหรอกเราไม่ได้สนใจขนาดนั้น ก็เลยปล่อยผ่านไปค่ะ และก็มีคนทักมาอีก จนรู้สึกว่าหรือว่าจะเป็นโอกาสที่เราต้องรับมันไว้และลองดู ก็ไม่ได้เสียหาย และก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไรบ้าง เลยลองดูก็ได้"

แล้วตอนนี้การพูดภาษาไทยของเราโอเคขึ้นกว่าแต่ก่อนไหม? "โอเคขึ้นนะคะ ก็จะมีเรื่องของการอ่านพูดเขียนเข้าใจทุกอย่าง อาจจะมีบางคำที่ยังไม่เข้าใจบ้างค่ะ แต่ส่วนใหญ่ที่ยังแก้ได้ยากมากก็คือเรื่องของสำเนียงและวิธีการเว้นวรรค การใช้น้ำเสียงค่ะ" อย่างตอนที่อยู่อิตาลี คุณแม่จะพูดภาษาอิตาลีตลอดหรือพูดภาษาไทยด้วย? "พูดภาษาอิตาลีค่ะ คือพอดีคุณแม่เป็นคนพูดภาษาอิตาลีได้ค่ะ เค้าอยู่ที่นั่นมา 20 กว่าปีก็เลยจะพูดภาษาอิตาลีซะส่วนใหญ่ ตอนเด็กๆ คุณแม่จะเปิดเพลงภาษาไทยให้ฟัง ช่วงนั้นก็จะร้องเพลงได้แต่ไม่ถึงขั้นได้พูดเป็นเรื่องเป็นราว เราก็จะพูดได้เป็นคำเบสิก อย่างเช่น สวัสดี ขอโทษ ขอบคุณค่ะ"

แต่ตอนนี้เราพูดชัดขึ้นเยอะเลยนะ? "ใช่ค่ะ เหมือนตอนย้ายมายังอยู่ในช่วงวัยเรียนที่ต้องเข้าโรงเรียนด้วยไงคะ คือตอนนั้นพรีมไม่อยากเข้าอินเตอร์ เนื่องจากว่าค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงเกินเหตุสำหรับพรีม เรามาจากเมืองนอกซึ่งที่นั่นก็จะไม่มีอินเตอร์อยู่แล้ว เราตกใจว่าทำไมต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงขนาดนั้น พรีมก็จะไม่ยอม ก็เลยเหมือนเป็นสถานการณ์กึ่งบังคับตัวเองว่าต้องเรียนภาษาไทยให้ได้ ไม่งั้นก็จะไม่รู้ว่าจะไปเรียนโรงเรียนไหน"

มาแรกๆ เราลำบากไหมกับการพูดภาษาไทย? "ลำบากนะคะ มันเหมือนเราไปต่างประเทศและเราไม่รู้ว่าเค้าคุยอะไรกัน เหมือนหูอื้อที่ฟังอะไรไม่ออกเลย เราก็จะไม่รู้ว่าเค้าพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ ก็จะต้องใช้เวลาค่อนข้างเยอะเหมือนกัน ต้องอาศัยความเคยชิน พรีมว่าสุดท้ายแล้วคนเราถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่คนรอบตัวพูดภาษาไทย และก็เป็นคนไทยมันก็จะทำให้เราค่อยปรับตัวได้เองค่ะ แต่ช่วงนั้นก็จำคำศัพท์ พยายามหัดเขียนทุกวันๆ ให้ได้ค่ะ ติวเข้มหนักมาก ถ้าเขียนและพูดคุยในชีวิตประจำวันเราทำได้สบายค่ะ ถ้าต้องมาเล่นละครมันก็จะเป็นความละเอียดอีกสเต็ปหนึ่งที่เราต้องทำให้ละเอียดมากขึ้น จะต้องโฟกัสกับภาษาพูดมากขึ้นค่ะ ถ้าเป็นในเรื่องของการตีความบทละครไม่ยากค่ะ แต่เราต้องพยายามทำความเข้าใจของบทนี้ อย่างเรื่องการจับคลุมถุงชน เรายังไม่เข้าใจเพราะเรามาจากต่างประเทศ ยังไม่เข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของมัน ไม่เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่ใหญ่ขนาดไหน ก็อาจจะต้องมานั่งคิดว่าสำหรับคนไทยมันใหญ่ขนาดไหน"

งานชิ้นแรกในวงการบันเทิงของเราเป็นงานอะไร จำได้ไหม? "เอ็มวีเพลงของพี่กัน เดอะสตาร์ค่ะ ตื่นเต้นมาก ซึ่งเป็นเอ็มวีที่เป็นเพลงเร็วเพลงแรกๆ ของพี่กันค่ะ แล้วในเอ็มวีเพลงนี้พรีมก็ต้องเต้นด้วย คือเหมือนพอเราตกลงกับผู้จัดการ เค้าก็บอกว่างานนี้สายพรีมเลยเพราะว่ามันต้องมีเต้นสนุกสนาน ต้องชอบแน่ๆ เค้าก็ให้หนู และได้ไปเล่นค่ะ ซึ่งหนูก็ชอบจริงๆ วันนั้นเป็นวันที่สนุกมากสำหรับพรีม"

หลังจากนั้นก็มีละครติดต่อเข้ามาเลย? "เข้ามาเลยค่ะ เรื่องแรกคือเรื่อง แม่ยายที่รัก ค่ะ ตอนนั้นอายุ 14 ปี"

คิดไหมว่าเราจะได้เป็นนางเอกละครตั้งแต่อายุยังน้อย? "ก็คิดเหมือนกัน ว่าตอนนั้นตัวเองยังเด็กมาก ก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับเรา อยู่ดีเราต้องมารับบทบาทที่ใหญ่มากสำหรับเรา เราก็จะรู้สึกว่ามันตื่นเต้น ทุกอย่างมันใหม่ไปหมด ทำอะไรไม่ถูก เราก็จะคอยฟังว่าให้ทำอย่างนี้ ให้ทำสิ่งนี้นะ ก็ค่อนข้างโก๊ะเหมือนกัน ยังไม่ค่อยรู้วิธีการทำงานเป็นยังไง"

เรื่องแรกเราผ่านมาด้วยดี? "ถ้าจะให้พรีมมองตัวเองและมองย้อนกลับไป คงจะมองว่าเราทำอะไรลงไป แย่มาก(หัวเราะ) เหมือนเราย้อนไปดูตัวเองและตลกตัวเอง โหย ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าวิธีการท่องบทเป็นยังไง แต่ถือว่าตอนนั้นผ่านไปด้วยดีค่ะ แต่จะถามว่าดีเลยรึเปล่า ก็ไม่เชิงค่ะ เหมือนเป็นเด็กใหม่คนนึงเลยที่เพิ่งเข้ามาใหม่ๆ แต่ก็โชคดีที่ทางกองและผู้กำกับเค้าใจดีมาก ค่อนข้างให้เวลากับหนู เทคแคร์ในเรื่องของภาษา การแอ็กติ้งด้วย ให้มันดูไม่ติดขัดจนเกินไป"

ละครเรื่องที่ 2 ของเรา? "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ค่ะ ฟอร์มใหญ่ยักษ์เลย อันนั้นก็เริ่มคุ้นเคยกับการทำงานแล้ว เริ่มดีขึ้น แต่เป็นบทที่พรีมชอบมากเพราะว่าได้ปลอมตัวเป็นผู้ชาย ลุยเข้าไปในป่า ค่อนข้างลุย แต่ค่อนข้างลำบากใจเพราะมันพีเรียด ก็เป็นความท้าทายใหม่สำหรับพรีม เรื่องนั้นถือว่าสนุกมาก ตัวละครเยอะมาก ก็ผ่านไปได้ด้วยดีเหมือนกัน เรื่องนั้นเป็นไทยมาก คำพูดก็ต้องปรับ ซึ่งตอนนั้นมีเข้าไปอ่านบทกับอาจิ๋มค่ะ เค้าก็จะช่วยในเรื่องบท ก็จะเล่าถึงวัฒนธรรมในสมัยก่อนให้ฟังว่าทำไมต้องใช้คำพูดอย่างนี้ คนสมัยก่อนเค้าพูดยังไงกัน ต้องทำการบ้านเยอะนิดนึงค่ะ"

มีท้อไหมเพราะเรายังเด็กด้วย อีกอย่างเราเพิ่งอายุ 14 ด้วย ซึ่งเด็กในวัยนี้น่าจะยังไม่ต้องทำงานหนักขนาดนี้? "เหมือนตอนแรกพรีมเข้ามาด้วยความบังเอิญที่โอกาสเข้ามาหาพรีม และพอได้ทำเราก็รู้สึกว่าสนุก พอสนุกเราก็ทำต่อไปเรื่อยๆ พอได้เริ่มทำเราก็รู้สึกว่ามันไม่ได้สนุกแค่เฉพาะตัวเองคนเดียว มันแอบเป็นความรับผิดชอบเล็กๆ ที่เรารับปากไว้ว่าจะทำ และจะมีอีกหลายชีวิตที่ต้องทำงานกับเราไปด้วย ถ้าเราตัดสินใจไม่ทำงานตรงนี้แล้ว มันจะส่งผลให้กับคนรอบข้างเราด้วย เลยรู้สึกว่าต้องทำมันต่อไปเรื่อยๆ และในขณะเดียวกันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นการทำงาน แต่มันเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เค้ายื่นให้เรา"

คิดไหมว่า เข้ามาวงการบันเทิงแรกๆ จะได้เป็นนางเอกเลย? "ไม่เลยค่ะ จริงๆ แล้วพรีมเป็นคนที่ไม่ซีเรียสว่าจะต้องเป็นนางเอกหรือนางร้าย แต่ซีเรียสกับบทว่าจะต้องเล่นออกมายังไงมากกว่าค่ะ แต่พอได้มาเป็นนางเอกก็ดีใจปนกับตกใจ ก็ตื่นเต้นอ่ะ เป็นความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่"

ละครเรื่องที่ 3 ของเรา? "สามี ค่ะ ถือว่าเป็นดราม่าเรื่องแรกสำหรับพรีมค่ะ ตื่นเต้นมาก ตอนนั้นก็กดดันตัวเองว่าเราจะเล่นได้มั้ย เพราะเป็นบทที่เราไม่เคยเล่นมาก่อนและเป็นดราม่าด้วย ซึ่งจะต้องเข้มข้นกว่าแนวอื่นอยู่แล้วค่ะ เหมือนเราเริ่มต้นไม่ถกว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหน ไม่เคยจับบทที่สำคัญขนาดนี้ค่ะ และพอดีว่าเป็นกองละครเดียวกับที่พรีมเคยเล่น ก็เลยคุ้นเคยมาระดับหนึ่งค่ะ เค้าก็เลยช่วยพรีมทำความเข้าใจกับบท การตีความ เรื่องนั้นเลยเป็นเรื่องแรกที่ฟีดแบ็กการแสดงของพรีมมันพัฒนาดีขึ้น ถามว่าเครียดมั้ยที่เป็นดราม่าเรื่องแรก ก็แอบเครียดค่ะ เพราะว่าต้องควบคุมอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งภาษาและอินเนอร์ ก็เป็นบทที่ค่อนข้างห่างจากวัยที่เป็นอยู่ ณ เวลานั้น ซึ่งตอนนั้นพรีมอายุ 15 เองค่ะ แต่แม้บทจะเครียดพอเรามาทำงานจริงๆ ทุกคนรีแล็กซ์มากๆ กับการทำงานของละครเรื่องนี้ ส่วนเรื่องที่ 4 เป็น สามใบไม่เถา ค่ะ อยู่วงการบันเทิงมา 4 ปีค่ะ เฉลี่ยปีละเรื่องค่ะ ต่อด้วยเรื่อง พ่อครัวหัวป่าก์ ค่ะ และล่าสุดก็เรื่อง ทางผ่านกามเทพ ค่ะ ต่อด้วย เดือนประดับดาว ค่ะ"

ตอนนี้เด็กหน้าใหม่เข้ามาในวงการเยอะมาก? "ใช่ค่ะ ตอนที่พรีมเข้ามาพรีมอายุ 14 และไม่เคยคิดว่าจะมีใครเข้ามาและอายุน้อยขนาดนี้ จนพอพรีมเริ่มอยู่มาเรื่อยๆ ก็มีเด็กเข้ามาอายุเหมือนพรีมตอนนั้นเลย"

เรื่อง ทางผ่านกามเทพ ที่เล่นคู่กับพี่ป๋อ ณัฐวุฒิ ซึ่งเรื่องนี้ก่อนที่จะออนแอร์ ก็มีฟีดแบ็กมาพอสมควรเพราะเค้าบอกว่าช่วงอายุมันห่างกันมาก ส่วนตัวเรามองว่ายังไงบ้าง? "คือตัวพรีมค่อนข้าวจะชินด้วย เพราะว่าเข้าวงการตั้งแต่อายุ 14 ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ตอนนั้นจะมีคนที่อายุเท่าพรีมเยอะขนาดนั้น ฉะนั้นพรีมจะเล่นละครกับคนที่อายุโตกกว่าพรีมเยอะอยู่แล้วมาตลอด เรื่องแรกก็เล่นกับพี่ชาคริต เรื่องที่ 2 ก็เล่นกับพี่เกรท วรินทร คือเหมือนแต่ละคนที่พรีมเล่นก็จะเป็นรุ่นที่โตกว่าพรีมค่ะ พรีมเลยค่อนข้างชินกับกระแสนี้ ตอนที่เริ่มมีกระแสเข้ามาแรกๆ พี่ป๋อก็แอบเครียดนิดนึง เค้าก็ไม่เคยเจอคนที่เด็กเท่าหนูมาเหมือนกัน แต่หนูก็แอบเตรียมรับมือกับกระแสนี้มาอยู่แล้วด้วยค่ะ และด้วยบทด้วยที่เค้ารีเมคมา เราก็เตรียมใจรับกับกระแสแบบนี้ พรีมได้คุยกับพี่ป๋อตรงๆ เลยค่ะว่าไม่ต้องห่วง สำหรับพรีมมันเป็นเรื่องที่ปกติว่าต้องโดนแน่ๆ และสุดท้ายเราก็คิดว่ารอให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ดีกว่า รอให้เราเข้าถึงคาแรกเตอร์จริงๆ แล้วเชื่อสิว่ามันจะหายไป และสุดท้ายมันก็หายไปจริงๆ ค่ะ มันขึ้นอยู่กับตัวละครตัวนั้นและความสามารถของเราว่าเราจะทำได้มั้ย จนมันทำให้คนเชื่อว่าเราเป็นผู้ใหญ่จริงๆ พอละครออนแอร์ ฟีดแบ็กก็ดีค่ะ แต่ไม่ถึงกับเป็นคู่จิ้นนะ เคมีมันไปกันได้ เล่นด้วยกันและรู้สึกสนุก ซึ่งไม่เอามาจิ้นในชีวิตจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่พรีมคาดหวังและตั้งใจว่าอยากให้มันเป็นแบบนี้ค่ะ หายเหนื่อย โล่งใจมากค่ะ รู้สึกดีใจที่คนดูดูและชอบ"

ทุกครั้งที่เราเล่นละคร มักจะได้ประกบคู่พระเอกที่มีชื่อเสียง เลยดูเหมือนว่าเค้าช่วยดันเราด้วยรึเปล่า? "การที่พรีมเล่นละครกับคนที่โตกว่าจะไม่รู้สึกว่าลำบากใจสำหรับพรีมเลย เรารู้สึกว่าอยากเล่นกับคนที่มีประสบการณ์กว่าด้วยซ้ำ เพราะเราชอบสังเกต ว่าวิธีการเล่นของพวกเค้าเป็นยังไง เค้าประสบการณ์เยอะก็จะมีเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ของเค้า และจะรับส่งอารมณ์ของเราได้ดีมากค่ะ พอเค้าส่งอารมณ์ให้พรีมได้ดี มันทำให้พัฒนาการการแสดงของเราดีขึ้นทันทีเลย และเค้าจะมีคำแนะนำให้ตลอดเวลา ซึ่งมันเป็นกำไรเล็กๆ น้อยๆ พรีมรู้สึกว่าการที่ได้เล่นกับคนที่มีประสบการณ์เยอะ เรารู้สึกโชคดีด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นเรื่องชื่อเสียง พรีมว่าคนดูเค้าน่าจะเข้าใจนะคะ สุดท้ายเค้าก็ดูที่ฝีมือเรามากกว่าค่ะ แต่ต่อให้ตัวพรีมเล่นกับใคร ถ้าตัวพรีมไม่ได้พัฒนาหรือว่าไม่ได้เล่นให้ถูกใจคนดู ต่อให้เล่นกับคนที่ดังมาก ก็คงไม่ช่วยอะไรค่ะ"

ตอนนี้มีผลงานละคร 7-8 เรื่องแล้วใน 4 ปีที่เข้าวงการมา เรารู้สึกว่าฝีมือการแสดงเราเป็นยังไงบ้าง? "ก็พัฒนาอยู่ทุกครั้งค่ะ ดูจากฟีดแบ็กแล้ว แล้วพรีมก็มีหลักเกณฑ์ของตัวเองแล้วว่าให้พัฒนาขึ้นมาสเต็ปหนึ่งเป็นอย่างต่ำค่ะ แต่เรารู้สึกว่าพัฒนาอยู่ตลอดเวลา และยังพัฒนาได้อีก"

เรามีมาตรฐานในการทำงานไหม? "มีค่ะ พยายามจะทำงานให้เต็มร้อยทุกครั้ง ทุกครั้งที่เล่นละครหรือทุกครั้งที่ทำอะไร ให้นึกเสมอเลยค่ะว่าเรากำลังทำมันเป็นครั้งสุดท้าย เหมือนครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เล่น มันก็จะทำให้เรารู้สึกว่านี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะต้องคว้าเอาไว้"

เคยเหนื่อยหรือเคยรู้สึกว่าไม่อยากทำงานแล้วบ้างไหม? "ไม่มีค่ะ ถ้าวันไหนที่เรารู้สึกแบบนี้เราจะกลับมานั่งคิดถึงวันแรกๆ ที่เราเริ่มเข้ามาทำงาน แต่สำหรับพรีมไม่มีอะไรที่หนักไปกว่าช่วงแรกที่เพิ่งย้ายมาเมืองไทยใหม่ๆ ค่ะ ซึ่งช่วงนั้นต้องอ่าน เขียนและพูดภาษาไทยให้ได้ภายใน 3 เดือน จากที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย เพราะจะต้องเข้าโรงเรียนแล้ว พรีมว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดของพรีมแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ท้อ พอเราท้อก็จะมานั่งย้อนกลับไปนึกถึงวันนั้น ถ้าเทียบกับวันนั้น วันนี้ไม่ใช่ความลำบากเลย มันจะเป็นแรงผลักดันเล็กๆ ให้เราทำต่อไปโดยที่เราไม่เหนื่อยหรืออะไร"

ในวงการบันเทิงทุกวันนี้มีเด็กใหม่เข้ามาเยอะมาก เรามองตัวเองในอนาคตยังไง? "ยังไงพรีมก็คงรักษามาตรฐานของพรีมให้ดีขึ้น จริงๆ แล้วพรีมคงมองว่าจะยึดอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพหลักของตัวเองนะคะ เป็นอาชีพที่น่าสนใจมาก แล้วก็มอบอะไรดีๆ ให้กับพรีมเยอะมากเลย มันเป็นอาชีพที่พิเศษอ่ะ มันไม้ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะเข้ามาอยู่จุดนี้ และก็จะรักษามันไปได้ตลอดค่ะ ที่จะทำงานตรงนี้ให้ดีมีคุณภาพ มันจะต้องใช้ความทุ่มเทเยอะค่ะ ก็เลยรู้สึกว่าอยากทำให้ดีกว่านี้ อยากให้มันดีไปเลย เราเห็นพี่ๆ คนอื่นที่เค้าทำได้ดี เราก็อยากจะมีแบบเค้าค่ะ" บทไหนที่เราอยากจะเล่นแต่เรายังไม่ได้เล่นบ้าง? "อยากเล่นบทบู๊นะคะ อยากเป็นผู้หญิงเก่ง ฉลาด น่าสนใจดีค่ะ"

ความรักเป็นยังไงบ้าง? "มีคนเข้ามาคุยค่ะ แต่ก็เป็นเพื่อนกัน ก็ไม่มีใครเข้ามาจีบชัดเจน เราไม่ได้ปิดตัวเองนะ และก็ไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องนี้มากมายขนาดนั้นค่ะ" เรามีสเปกไหม? "ชอบผู้ชายเก่งค่ะ คือจริงๆ พรีมเป็นคนกวนๆ นิดนึงนะคะ เลยรู้สึกว่าชอบคนที่คุยด้วยแล้วรู้เรื่อง ชอบผู้ชายเก่งที่ไม่ได้ยอมเราทุกอย่าง เป็นคนแสนดี พอเรากวนอะไรไปแล้วเค้ายอมเรา ซึ่งเราไม่ชอบ ชอบคนที่ทันเราโต้ตอบเรากลับได้ ต้องเป็นทั้งคนรู้ใจและในขณะเดียวกันก็เป็นเพื่อนได้ค่ะ อยู่ด้วยกันแล้วสนุกสนานค่ะ คือง่ายๆ ก็คือชอบคนที่ช่วยกันแชร์ความคิดกับเราได้"

ขอย้อนกลับมาถามเรื่องพี่ชายบ้าง ตอนนี้ครอบครัวเราย้ายมาอยู่ที่เมืองไทยหมดทุกคนเลยใช่ไหม? "ใช่ค่ะ" พี่ชายอายุเท่าไหร่? "20 ค่ะ ห่างกับพรีมประมาณปีนึงค่ะ" เราสนิทกับพี่ชายมากแค่ไหน? "สนิทกันมากค่ะ คือเค้าจะแอบถือเราเป็นไอดอลคนนึงนะคะ พรีมทำอะไรเค้าจะทำตาม และตอนเด็กๆ พรีมเป็นคนเดียวที่ฟังเค้ารู้เรื่องที่สุดแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าเราอายุใกล้เคียงกันด้วยมั้งคะ คือเค้ามีอุปสรรคในเรื่องของการพูดให้ชัด ตอนเด็กๆ พรีมจะเป็นคนที่ฟังเค้ารู้เรื่อง รู้ว่าเค้าต้องการอะไร พอโตขึ้นเราก็เหมือนแบบอยู่ด้วยกันมาตลอด จนพรีมคุ้นเคยและชินกับเด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรม คุ้นเคยกับพี่ชายตัวเองจนไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกหรือแตกต่างจากคนอื่นเลย เราซนกันมากเล่นเป็นคู่หูตลอด ตอนเด็กๆ คนก็คิดว่าเราสองคนเป็นแฝดกัน อยู่ด้วยกันตลอด ทำทุกอย่าง พี่เค้าก็จะติดเรา หวงบ้าง ก็จะถามหาเรา"

ตอนนี้พี่ชายเราพูดภาษาไทยได้ไหม? "ไม่ค่อยได้ค่ะ เค้าก็ย้ายเข้ามาเหมือนพรีมเลย พูดภาษาอิตาลีภาษาเดียวและก็ต้องเริ่มต้นใหม่ทุกอย่างเหมือนกันค่ะ ซึ่งพรีมว่าพรีมลำบากแล้ว สำหรับเค้าก็เป็นเรื่องที่หนักมากเหมือนกันค่ะ คุณแม่ก็มีช่วยมาสอนให้พูดภาษาไทยได้บ้าง ตอนนี้เค้าเริ่มอ่านภาษาไทยได้นิดหน่อยค่ะ พวกอะไรง่ายๆ ค่ะ เริ่มเขียนชื่อตัวเองเป็นภาษาไทยได้ ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยไหม? "ก็บ่อยนะคะถ้าเกิดว่าพรีมไม่ได้ทำงาน อย่างคุณแม่เค้าจะเป็นคนมารับพรีม พี่เค้าก็จะมารับพรีมด้วย ช่วงแรกๆ เค้าก็จะมารับมาส่งด้วย พอหลังๆ พรีมเริ่มตื่นตี 5 มาทำงาน เริ่มกลับดึก พี่เค้าก็จะบอกว่า แม่ไปรับพรีมเลย เดี๋ยวพี่ขอนอนอยู่บ้าน เริ่มรู้งานแล้วว่าตื่นเช้ามากแน่ๆ ไม่ไปด้วยดีกว่า"

ตอนนี้พี่เค้าเรียนที่ไหน? "ช่วงแรกๆ คุณแม่เค้าติดต่อโรงเรียนให้เค้าได้ค่ะ เค้าเรียนกับคนที่เด็กกว่าด้วย แล้วก็พยายามเป็นโรงเรียนเล็กๆ เพื่อที่ครูจะประกบได้ด้วย แต่ก็คือส่วนใหญ่เมืองไทยไม่ค่อยมีบุคลากร คุณแม่เค้าไม่อยากให้พี่เค้าไปอยู่ในสถาบันที่สอนเรื่องนี้โดยเฉพาะ แต่ต่างจากที่เมืองนอกที่พี่เค้าเรียนโรงเรียนเดียวกับพรีมเลย แต่แค่คนละห้องกัน ซึ่งเรารู้สึกว่าพอเค้าอยู่กับเด็กธรรมดาปกติ เค้าจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นค่ะ แต่ถ้าเราต้องเอาเค้าไปอยู่ในสถาบันที่สอนเรื่องนี้โดยเฉพาะ ตัวเค้าเองก็ไม่ชินว่าทำไมทุกคนเป็นแบบนี้ จากที่เค้าถูกแวดล้อมด้วยคนปกติมาโดยตลอด เราก็ไม่อยากให้เค้ารู้สึกว่าตัวเองแตกแยกออกไป ตอนนี้คุณแม่เป็นคนสอนซะส่วนใหญ่ค่ะ สอนอยู่บ้าน จนตอนนี้ก็อ่านเขียนภาษาไทยได้บ้างนิดหน่อยค่ะ พรีมก็จะพูดภาษาอิตาลีกับเค้าบ้างเป็นการเทรนด์ภาษา และส่วนใหญ่พรีมจะไปทางกิจกรรมอยากให้เค้าออกกำลังกาย ขยับร่างกาย"

รักพี่ชายมากขนาดไหน? "รักมากค่ะ พรีมรู้ใจเค้าทุกอย่าง รู้เค้าทุกสเต็ปเลยค่ะ พรีมไม่มีเค้าไม่ได้จริงๆ เป็นคนนึงที่อุ่นใจ ไม่ต้องพูดอะไรก็รู้สึก เหมือนเค้ารู้เลยว่าวันไหนที่เราท้อ วันไหนที่เราเหนื่อย วันไหนที่เราแฮปปี้ เค้ารู้สึกได้จริงๆ ค่ะ เรารู้สึกว่าเค้าเป็นคนที่รู้ใจเรามากที่สุด แต่เค้าก็หวงน้องมากค่ะ"

ใครเข้ามาจีบก็ต้องผ่านด่านพี่ชายก่อน? "ใช่ค่ะ(ยิ้ม) บางทีเค้ามาด้อมๆ มองๆ เหมือนเค้าสัมผัสอะไรบางอย่างได้ ตลกดี และเค้าจะมีอารมณ์สีหน้าที่ไม่เหมือนคนอื่น ทำตากรุ้มกริ่มใส่บ้างแบบรู้ทันนะ" แต่คือภายนอกเค้าเป็นคนปกติ? "ค่ะ แต่เค้าจะมีสัญลักษณ์ทางร่างกายบางอย่างเฉพาะของเด็กดาวน์ซินโดรมค่ะ แต่อย่างอื่นก็คือปกติ ดูแลช่วยเหลือตัวเองได้ปกติมากค่ะ"

อายไหมเวลาพาพี่ชายออกไปข้างนอก? "ไม่ค่ะ ไม่เลย ยิ่งสมัยนี้มันกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนโอเคแล้ว แต่ก็คือเคยมีนะคะที่คนไม่รู้ ยิ่งเด็กๆ บางทีเราเจอเด็กๆ วิ่ง แล้วเค้าก็จะมองและเค้าจะวิ่งไปหาแม่และถามแม่ว่าทำไมพี่คนนี้เป็นแบบนี้ ซึ่งบางทีเราเจอจนชิน ถามว่าบ่อยมั้ยก็ไม่บ่อย ทั้งคุณแม่และพรีมเหมือนพร้อมที่จะให้คำอธิบายได้ตลอดเวลานะคะ บางทีพรีมก็เคยเจอเด็กๆ เราเห็นเค้ายืนสังเกตพี่ชายเราอยู่ไกลๆ เราก็เดินเข้าไปถามเลยว่าน้องสงสัยอะไรรึเปล่า พี่เป็นแบบนี้นะ คนนี้เค้าเป็นแบบนี้นะ เราก็อธิบายให้เค้าฟังด้วย พอเค้ารู้เค้าก็จะโอเคๆ และปกติ"

เราเดินเข้าไปบอกเองเลยเหรอ? "ถ้าเกิดว่าอยู่ในระยะที่ใกล้ชิดมาก และเค้าสังเกตพี่ชายเรามากจนแบบผิดสังเกตเรา เราถึงได้เดินไปทักเค้าค่ะ บางทีก็มีบ้างที่คุณแม่เค้าถามว่า สงสัยอะไรรึเปล่าคะ คุณแม่อธิบายได้นะ บางทีเคยมีค่ะ เหมือนมองๆ เรา พอเราเข้าไปถาม เค้าก็บอกว่า ตัวเค้าเองมีลูกที่เป็นแบบนี้เหมือนกัน เลยอยากจะปรึกษาแต่ตัวเค้าเองไม่กล้าเข้ามาค่ะ จนคุณแม่เข้ามาหาเองเค้าถึงได้เปิดใจเล่าเรื่องเค้าให้ฟังค่ะ"

เราก็ไม่อายที่ต้องทำอย่างนี้เวลามีคนมามองพี่ชายเรา? "ไม่อายค่ะ แต่ที่เมืองนอกเค้าค่อนข้างเปิดเรื่องนี้มากกว่าคนไทยค่ะ บางทีมันเป็นสถานการณ์ที่อึดอัดด้วยค่ะ เลยไม่อยากให้เค้ามองพี่เราแบบนี้ค่ะ จริงๆ พรีมกับแม่เองก็ตั้งใจนะคะ ว่าสักวันในอนาคตคงพยายามที่จะตั้งอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง เพื่อที่จะให้ความรู้และความเข้าใจให้กับคน ว่าคนที่เป็นเด็กดาวน์ซินโดรมเค้าสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทำงานได้ตามปกติ อย่างล่าสุดก็มีหนังเรื่องเดอะดาวน์ ซึ่งพรีมมองว่าเป็นเรื่องที่ดีมากค่ะ ที่ให้คนพวกนี้ได้มีบทบาทในชีวิตของทุกๆ คนบ้างค่ะ".