Inside Dara
บทบาทชีวิตครั้งใหม่ของผู้ชายสุดเก๋า'เต๋า'สมชาย

เป็นนักแสดงฝีมือดีอีกหนึ่งคนของวงการบันเทิง และยังเป็นคุณพ่อลูกสองสำหรับ "เต๋า" สมชาย เข็มกลัด กับบทบาทใหม่ในภาพยนตร์เรื่อง "อันธพาล" ที่กำลังระเบิดความมันอยู่ทุกโรงภาพยนตร์ วันนี้ ขอคว้าตัวคุณพ่อลูกสอง มาล้วงลึกกับการหวนคืนสู่จอเงินอีกครั้ง พร้อมเผยแง่มุมชีวิตของลูกผู้ชาย ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในโลกมายาอย่างโชกโชน กับบทสรุปชีวิตในวันนี้ของซุป'ตาร์ ใจนักเลง

ผลงานภาพยนตร์
มารับเล่นภาพยนตร์เรื่อง "อันธพาล" ได้อย่างไร

อันธพาล เป็นอีกหนึ่งงาน ที่ต้องบอกเลยว่าคือตำนานของนักเลงในเมืองไทย ซึ่งตั้งแต่ พ.ศ. 2499 ในช่วงที่กำลังจะเข้าสู่ยุคบุปผาชน สมัยนั้นต้องรู้จักเขาแน่นอน ในนามของคนที่ชื่อแดง แล้วมาวันหนึ่งเรื่องราวของเขาถูกถ่ายทอดมาเป็นภาพยนตร์ที่เป็นภาคต่ออีกหนึ่งเวอร์ชั่น ซึ่งแดงวันนี้ก็คือผมนั่นเอง ตอนแรกที่พี่โขม (ก้องเกียรติ โขมศิริ) ติดต่อให้รับบทนี้ ผมยังลังเลอยู่ว่าจะเล่นได้หรือเปล่า เพราะวัยของแดงในตอนนั้นจะเป็นหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ ส่วนผมเต๋า สมชาย อายุย่างเข้าไปสามสิบปลายๆ และผมมองไม่ออกเลยว่าบทจะเป็นยังไง ผมเลยบอกทีมงานว่าขอดูบทก่อน

เห็นบทครั้งแรกรู้สึกอย่างไร

ผมเชื่ออย่างสนิทใจเลยนะว่า นี้เป็นภาคต่อจริงๆ เพราะกล่าวถึงตัวละครอย่าง แดง และมีในส่วนบทใหม่ที่แต่งเติมขึ้นบวกกับตัวละครใหม่ที่เข้ามาชื่อว่า "จ๊อด" นำแสดงโดย น้อย วงพรู อีกหนึ่งเรื่องที่ผมเชื่อว่าคนยังไม่รู้ หรือเป็นเรื่องที่คนยังไม่เคยได้ยิน มันก็น่าจะเป็นภาคต่อที่ดี ในส่วนของตัวเองก็ต้องทำหน้าที่ในส่วนของนักแสดงให้ดีที่สุดทำการบ้านมากขึ้น เพราะตอนนั้น ผมได้รับการทาบทามให้แสดงหนังเรื่องนี้ เลยถามพี่โขมไปว่าจะเริ่มเมื่อไหร่ เขาก็บอกเรามาว่าอีก 3 วัน ตอนเแรกตกใจว่าทำไมต้องเร็วขนาดนั้น เพราะบทของผมต้องเป็นนักเลงในยุคนั้นต้องผอมเพรียว ต้องใส่เสื้อยืดกางเกงเอวสูงแบบนี้ ผมก็ต้องขอเวลาฟิตหุ่นบ้าง อย่างน้อยก็ต้องสัก 7 ได้มั้ย สุดท้ายทีมงานก็ยืดเวลามาให้ 10 วัน ให้ผมได้ลดหุ่น เพราะต้องรีบเร่งมาเปิดกล้องโดยด่วน

ปรับตัวอย่างไรให้การทำงานราบรื่น

ระยะแรกก็ต้องสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองก่อน ด้วยการลดน้ำหนักได้กว่า 3 กิโลครึ่ง ซึ่งต้องยอมรับว่าด้วยวัยของเรามันเป็นข้อกำหนดให้เรา อย่างสมัยก่อนก็ทำได้ สัก 5 กิโลยังทำได้เลย ส่วนเรื่องการแสดง ผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไรมาก เดินมาเข้าฉากแล้วจะได้เลยมันก็เป็นไปไม่ได้ ต้องมีการปรับตัวบ้างเหมือนกัน เราจึงต้องหาตัวตนของละครให้เจอให้ได้เหมือนกัน เพราะหนึ่งคือมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตำนาน อีกอย่างเป็นแนวพีเรียด ผมเองก็ไม่ค่อยได้เล่นแนวนี้เท่าไหร่นัก จึงต้องศึกษาถึงองค์ประกอบในส่วนต่างๆ ให้ครบ ทีมงานก็น่ารักนะ อย่างมีการบิวท์อารมณ์ด้วยการเปิดเพลง เอลวิส เพรสลีย์ ให้ฟังในกองถ่ายด้วย ถือว่าเป็นตัวช่วยอย่างดีเลย กว่าจะเริ่มทำความเข้าใจกับตัวละครได้ ก็ผ่านไปวันหนึ่ง เราก็เริ่มค้นเจอ แล้วพอกลับบ้านไปก็บอกกับภรรยา ("ยุ้ย" อัฐมาศ อัศววิมล) ว่างานนี้หมูๆ

บรรยากาศในกองถ่าย

บอกตรงๆ ว่าผมเป็นคนรีบจะทำอะไรก็ต้องให้มันเสร็จสรรพไปก่อน อีกอย่างผมเป็นคนบ้านไกลเวลาน้อยนะ(หัวเราะ) บอกกันตามตรง คือเวลานั้นถ้าเราทำงานนี้ผ่าน ผมเชื่อว่างานต่อไปเราก็ทำได้หมด ซึ่งในเรื่องนี้ก็มีหลายๆคนชอบแซวว่า เอ๊ะเราก็เล่นได้นิไม่เห็นจะเล่นยากอะไรเลย คำว่า "อันธพาล" เนี้ย (หัวเราะ) ก็มีคนบอกว่าผมเล่นเป็นตัวเองไม่เห็นจะต้องคิดมากเลย ผมก็เลยบอกว่าถ้าเปลี่ยนจากอันธพาล 2499 เนี้ย มาเป็น อันธพาลในยุค 2555 เนี้ยก็ไม่แน่อาจจะง่ายกว่านี้อีก แต่ในช่วงยุคหนึ่ง ชีวิตผมอาจจะใช่และประสบความสำเร็จในแบบนั้นก็เป็นได้(หัวเราะ)

ด้วยเหตุผลนี้หรือเปล่า ที่ผู้กำกับการแสดงเลือกเราเป็นนักแสดงนำ

อันนี้ผมก็ไม่ได้ถามผู้กำกับนะว่าเพราะอะไร ที่ให้ผมมารับบทนี้ แต่มันก็เป็นเหมือนช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตของผมนะ ที่เคยได้ก้าวข้ามผ่าน ณ จุดนั้นมาแล้ว และผมบอกได้เลยว่า ถ้าจะให้ผมรับบทไหนผมก็ทำได้หมด ซึ่งไม่อยากจะบอกเลยว่าเร็วๆ นี้ ผมได้รับบทตำรวจมา แล้วก็กลัวอยู่นะว่า คนดูจะไม่เชื่อเราหรือเปล่าอันนี้ก็ต้องติดตาม

เหตุผลที่คนต้องเดินเข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้คืออะไร

เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปของบ้านเมืองในสมัยก่อน และสามารถมองย้อนกลับมาสู่ยุคปัจจุบันได้ว่า นักเลง หรืออันธพาลในสมัยก่อนเป็นอย่างไร มันจะให้มีเหตุและผลที่ว่า คำว่าอันธพาลมันมีจุดจบ สิ่งที่ผมแสดงออกไม่ได้หมายความว่าโก้เก๋หรือเท่แต่อย่างใด แต่มันเป็นการสะท้อนให้เห็นความวุ่นวายของชีวิตที่สังคมไม่ได้ต้องการให้ทำแบบนั้น แต่ท้ายสุดภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะบอกเองว่า ท้ายสุดมนุษย์ก็ควรดำเนินชีวิตไปตามแบบที่สังคมยอมรับนั่นละดีแล้ว

อยากบอกอะไรถึงคนที่เข้าไปดูภาพยนตร์เรื่อง "อันธพาล" บ้าง

ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำเพียงเพราะไว้เสพความบันเทิงเท่านั้น ผมขอเตือนวัยรุ่นที่เข้าไปชมว่า ผลการกระทำในเรื่องนี้ไม่ได้แสดงถึงความเท่ หรือโก้เก๋ใดๆ ทั้งสิ้น ผมอยากให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการชมและนำแง่คิดดีๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตด้วย ก็ต้องขอฝากไว้ด้วย วันนี้ทุกโรงภาพยนตร์


เรื่องชีวิตส่วนตัว
ได้ยินว่าเคยใฝ่ฝันว่าอยากเป็นผู้กำกับการแสดง

ผมเชื่อว่าความใฝ่ฝันของทุกคน ต้องสามารถเป็นไปได้ ตัวผมเองก็เคยเป็นนักร้องนักแสดง คือเรียกได้ว่างานในวงการเกือบทุกอย่าง ผมก็เคยผ่านประสบการณ์มาแล้ว มีอยู่ช่วงหนึ่งก็เกิดสนใจในเรื่องแผ่นฟิล์ม คิดว่าวันหนึ่ง เราอยากจะลองกำกับหนังที่เป็นของตัวเองดูบ้าง เป็นความใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก แล้ววันหนึ่งมันคงถึงเวลาแล้วที่เราควรจะทำตามความฝันนั้นสักที ก็เริ่มต้นที่หนังสั้นชื่อเรื่อง The unreasonable man ที่ดีใจที่สุด ก็คือหนังของผมได้รับความสนใจจากคนภายนอกด้วย

ตอนนี้ทางอาร์เอส ก็จัดคอนเสิร์ตของศิลปินเก่าๆ แฟนเพลงมีโอกาศจะได้เห็นการกลับมาบนเวทีคอนเสิร์ตของเต๋าหรือไม่

เขาดูกันที่อายุนะ(หัวเราะ) ที่ออกมาตอนนี้ มีแต่รุ่นน้องผมทั้งนั้น ถ้าแฟนเพลงยังคงคิดถึงบรรยากาศเดิมๆ ความรู้สึกเดิมๆ ในแบบเก่าๆ ผมก็พอที่จะเล่นให้ แต่ถ้ากลับไปในแบบที่มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง ส่วนตัวผมคิดว่าเราจะเล่นไปเพื่ออะไร แต่ถ้าเพื่อนหรือแฟนเพลงบอกว่าคิดถึงบรรยากาศเหล่านั้นอยากเจอผม อยากร้องเพลงที่ผมเคยร้องอย่างนั้น ผมถึงจะกลับไป ผมคิดว่ายุคนี้เป็นยุคของเด็กมากกว่า ส่วนผมก็ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ(หัวเราะ)

ชีวิตในการทำงานกว่า 24 ปีกับวงการบันเทิงนี้ได้ให้อะไรไปบ้าง

ให้ทุกอย่างกับผมเรียกได้ว่ามหาศาล คือเราได้เติบโตมากับวงการนี้ได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง ผมคิดว่าตัวเองโชคดีมากๆ ที่ได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ ได้ออกเทป อย่างเพลง บอดี้การ์ด ตอนนี้ก็ผ่านมา 20 ปีแล้ว ต้องบอกเลยว่าเพลงนี้ มันคือที่สุด ทุกวันนี้เวลากลับไปเล่นคอนเสิร์ต ก็ยังคงมีคนขอเพลงเก่าๆ ของผมอยู่อย่าง บอดี้การ์ด สมชายจรดปลายเท้า ซึ่งแฟนเพลงก็ยังคงจดจำได้อยู่ไม่เคยลืม

อดีตที่ผ่านมามีเรื่องราวมากมายที่ไม่สู้จะดีนัก เราก้าวผ่านความทุกข์เหล่านั้นมาได้อย่างไร

เราต้องอยู่กับมันให้เต็มที่ ยอมรับสิ่งเหล่านั้นให้ได้ ตอนที่ยังไม่มีครอบครัว ตัวเราเองนี่แหละ คือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจตัวเองได้มากที่สุด เมื่อมันมีความทุกข์เข้ามา เราเองก็ต้องฉุดตัวเองขึ้นมาจากความทุกข์เหล่านั้นด้วยคำว่า ช่างมัน ไม่เป็นไร ยอมรับกับมันให้ได้ ผมไปพบจิตแพทย์เวลาที่ผมเครียดๆ ก็จะได้แง่คิดหรือวิธีปฏิบัติตัวมาใช้กับชีวิตเรา เพื่อไม่ให้ทุกข์ไปกว่านี้ วันหนึ่งเรามีครอบครัวมีลูกน้องสุขใจ (ด.ช.พลภัทร เข็มกลัด) กับน้องสมใจ (สรรกมล เข็มกลัด) มาเติมเต็มชีวิตผมให้มีความสุขก็เท่านั้น

พูดถึงเรื่องครอบครัว
กับชีวิตครอบครัวที่เป็นอยู่ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง

ทุกอย่างเป็นความใฝ่ฝันของลูกผู้ชายคนหนึ่งนะ ผมบอกภรรยาของผมว่า วันหนึ่งผมอยากไปส่งลูกไปโรงเรียน แล้วความฝันนั้นก็เป็นจริงแล้ว ผมเป็นคนไปส่งน้องสมใจไปโรงเรียน ผมมีความสุขมากๆ มันเป็นความอิ่มอกอิ่มใจเวลาที่มองลูกทำกิจกรรมกับครูบ้าง เพื่อนๆ ของเขาบ้าง มันเป็นความสุขแบบที่เราไม่เคยได้สัมผัส พอกลับมาบ้านก็ถามเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง มีงอแงไหม ผมก็ถามครูว่าลูกผมเป็นยังไง ครูก็บอกว่าเขาร้องแค่นิดเดียว แต่มีหลายคนบอกว่าลูกผมยังเล็กไป แต่ผมคิดว่า อยากให้เขาได้ลองทำก่อนให้เขาได้เรียนรู้ในสิ่งต่างๆ ให้เขาได้เผชิญไปก่อน นั่นแหละเป็นความสุขของคนเป็นพ่อแม่ที่ได้เห็นพัฒนาการของลูกตัวเอง

ถ้าในวันนี้มีคนบอกว่า เต๋า สมชาย ยังเป็นแบดบอยอยู่จะบอกกับคนคนนั้นว่าอย่างไร

ผมจะบอกว่าในสิ่งที่คุณคิดมันเป็นอดีตที่ผ่านมาแล้ว คือผมได้ผ่านจุดนั้นมาแล้วทั้ง แบดบอย เพลย์บอย อันธพาล เพราะมันเป็นแค่สรรพนามหรือคำเรียกซึ่งผมถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ผ่านมาเท่านั้น และเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผมนะ และในวันนี้ผมก็ต้องขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตผม เพราะถ้าไม่มีเรื่องราวในวันนั้น ก็ไม่มีผมในวันนี้ และอยู่ที่เราจะคิดได้หรือไม่ได้ วันนี้บทบาททุกบทบาทผมสามารถรับได้หมด จะให้ผมโหดไปมากกว่านี้ก็ทำได้ เพราะที่ผ่านมาทั้งหมด มันคือการแสดง เพราะตัวตนจริงๆ ของผมก็ไม่ใช่แบบนั้น ผมเชื่อนะในยุคนี้ 2555 คงไม่มีแม่ค้าในตลาดที่ไหนจะเดินแล้วเอาทุเรียนมาทุ่มใส่ผมหรอก

คิดว่าอะไรคือที่สุดชีวิต

ครอบครัว และลูกตัวน้อยๆ เหมือนทูตสวรรค์ของผมทั้งสองคน ซึ่งผมคิดว่าในชีวิตนี้ ผมได้รางวัลที่สูงสุดในชีวิตแล้ว ผมคิดว่าเป็นเรื่องยากนะ ที่คนเราจะได้เจอสิ่งที่สำคัญและมีค่าที่สุดในชีวิตอย่างนี้ บางคนอยากได้แค่ไหนก็ไม่ได้ อยากมีแค่ไหนขอเท่าไหร่ก็ยังไม่มีดังนั้น ครอบครัวที่ดี และมีความสุขหายาก เหมือนคำโบราณที่กล่าวว่าลูกน้อยคือโซ่คล้องใจผมคิดว่าจริงนะกับคำพูดนี้ และผมก็ไม่ต้องการอะไรในชีวิตอีกแล้ว นอกจากเลี้ยงดูเขาทั้งสองให้เป็นคนดีเท่านั้นพอ

วันนี้เราก็ได้รู้จักตัวตน ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้จักของผู้ชายชื่อ "เต๋า" สมชาย เข็มกลัด ได้มากยิ่งขึ้น


ชื่อ : สมชาย เข็มกลัด
ชื่อเล่น : เต๋า
เกิด : 26 ม.ค. พ.ศ. 2517
การศึกษา : ประถมศึกษาโรงเรียนท่าเรือวิทยา มัธยมศึกษาโรงเรียนเทพศิรินทร์
ผลงานภาพยนตร์ที่ผ่านมา : โลกทั้งใบให้นายคนเดียว, แตก 4 รัก โลภ โกรธ เลว, สายล่อฟ้า, โอปปาติกะ, ศพเด็ก 2002, ปล้นนะยะ 2
ผลงานภาพยนตร์ล่าสุด : อันธพาล