Inside Dara
ตัวตน “นันทิดา” ต้องคิดบวก

พี่ถือว่าทุกเรื่องมันทำให้น้องเพลงแข็งแรงขึ้น ได้เรียนรู้ในสิ่งที่เด็กหลายคนในวัยเดียวกันอาจไม่ได้เจอ พี่บอกลูกเสมอว่าสิ่งที่คุณแม่และครอบครัวคุณแม่ถูกสอนมาตลอดคือการอยู่กับความจริง

ชีวิตโลดแล่นอยู่บนถนนสายดนตรีมาตลอด 30 กว่าปี ชื่อของ ตู่-นันทิดา แก้วบัวสาย ยังไม่จางหายไปจากหัวใจของแฟนเพลง แม้ว่าชีวิตจะผ่านมรสุมมามากมายเพียงไร นันทิดายังมีเสียงเพลงก้องอยู่ในหัวใจเสมอ เร็ว ๆ นี้เธอกำลังมีคอนเสิร์ตใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้ง รับรองแฟน ๆ คงหายคิดถึงกันแน่ ๆ วันนี้นันทิดาไม่ขอพูดเรื่องเก่า แต่ขออยู่กับกำลังใจสำคัญที่ชื่อ น้องเพลง-ชนม์ทิดา อัศวเหม ครั้งนี้พี่ตู่ให้เกียรติกับ “ดาวต่างมุม” อีกครั้ง บอกเล่าถึงชีวิตในช่วงนี้ให้ได้อัพเดทกัน

ตอนนี้ชีวิตของพี่ตู่เป็นอย่างไรบ้าง?

งานเยอะค่ะ เพราะกำลังจะมีคอนเสิร์ตด้วย และจะมีซิงเกิ้ลเพลงใหม่ออกมา มันเป็นอย่างนี้มาตลอด 30 ปีค่ะ แล้วแต่ว่าจะมากหรือจะน้อย มันมีความสุขในการทำงานนะ พี่เองคงไม่คิดจะทำอะไรอย่างอื่นนอกจากการร้องเพลง เพราะทุกครั้งที่อยู่บนเวทีมันมีความสุขจริง ๆ มันได้รีแลกซ์ มันได้ปลดปล่อยและอิสระ มันเป็นอาชีพของเรา เป็นนักธุรกิจคงไม่ใช่ (หัวเราะ) เรามีแฟนเพลงที่มาฟังเราร้อง มันคือพลังที่ส่งกลับมาหาเราอีกที หลายคนที่เป็นนักร้องคงรู้สึกแบบเดียวกัน บางครั้งการทำงานมันอาจมีความเครียดบ้าง แต่ความเครียดนั้นมีความสนุกอยู่ด้วย ทุกอย่างมันมีเกิดขึ้นและดับไป ถึงเราไม่ได้ขึ้นมาร้องเพลงบนเวทีก็ร้องเพลงอยู่ที่บ้านได้ เพราะมันมีความสุขค่ะ

เคยมองงานเบื้องหลังไว้บ้างไหม?

การทำงานตรงนี้มันเป็นงานสร้างสรรค์ มันยากและต้องใช้เวลาทุ่มเทให้มัน พี่ขอเป็นคนช่วยดีกว่าหรือให้คำแนะนำใครก็ได้ ถ้าจะทำให้เป็นธุรกิจของตัวเองที่เป็นงานเบื้องหลังก็คงจะไม่ เป็นครูก็คงไม่ เพราะการเป็นครูสอนร้องเพลงมันยากนะ บางคนอาจเกิดมาเพื่อจะเป็นครู คนร้องเพลงเป็น บางทีมันบอกไม่ได้นะว่าวิธีการร้องต้องเป็นอย่างไร มันไม่เหมือนกัน ครูบางท่านที่สอนร้องเพลงแต่ร้องเพลงไม่ได้ก็มี แต่เขาอาจรู้เทคนิคในการสอน”

ทำไมถึงกลับมาจัดคอนเสิร์ตใหญ่อีกครั้ง?

“เป็นเพราะพี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา) ค่ะ เธอถามว่าพร้อมไหมสำหรับการมีคอนเสิร์ตเดี่ยวอีกครั้ง พี่ก็ตอบไปว่าโอเค เรารู้สึกตื่นเต้นนะ เพราะที่ผ่านมามักเป็นการรวมหลายศิลปิน คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งสุดท้ายก็ผ่านมา 6 ปีแล้ว มีคนดูแค่ 500 คน แต่ครั้งนี้เป็น 5,000 คน มันก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดาแต่พร้อมแล้ว คิดถึงเวที คิดถึงคนดู คอนเสิร์ตไม่ว่าเล็กหรือใหญ่มันจะมีความพิเศษและความตื่นเต้นในตัวอยู่แล้ว เพราะธีมจะเปลี่ยนไปทุกครั้ง การบ้านมันก็เลยไม่เหมือนกัน สำหรับคราวนี้ที่เป็น “นันทิดา เดอะโชว์มัสโกออน” มันจะลงลึกในรายละเอียดความเป็นตัวตนของตัวพี่มากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นนันทิดา อะไรที่เป็น 30 ปีที่ผ่านมาในสายงานของพี่ และอะไรที่จะเป็นเดอะโชว์มัสโกออน ซึ่งแน่นอนมันคงไม่ได้มีแต่ความสำเร็จทั้งหมด มันก็มีล้มบ้าง หลาย ๆ เรื่องราวกันไป พี่จะเอาความชอบของพี่มาแชร์กับครีเอทีฟว่าอยากได้แบบนี้ ครั้งนี้เราจะมาจับวางดูว่านอกจากเพลงของนันทิดาแล้ว มันจะผสมผสานเรื่องราวที่น่าสนใจในช่วงเวลา 30 ปี นันทิดาอย่างไร รวมทั้งแขกรับเชิญที่มีความผูกพันกับนันทิดา เรียกว่ามันเป็นอินเนอร์เลิฟที่พี่กับเขารู้สึกตรงกัน”

ดูแลสุขภาพตัวเองอย่างไรบ้าง?

“พี่เข้าฟิตเนส แต่เวลาวิ่งบอกไม่ได้นะ เพราะบางทีสี่ทุ่มถึงสองยามก็ยังวิ่ง บางทีก็ว่ายน้ำ ไม่เป็นเวลา แต่อย่างน้อยต้องได้สัปดาห์ละ 3 วันที่ออกกำลังกาย และเป็นคนระวังเรื่องอาหารการกินอยู่แล้ว เรารู้ว่าสิ่งใดที่จะดูแลเสียงของเรา อากาศเย็น ๆ เป็นอะไรที่นันทิดาไม่ชอบเลย ก็ต้องทำร่างกายให้อุ่นตลอด ต้องจัดตารางเวลาให้นอนหัวค่ำขึ้น จากแต่ก่อนที่กว่าจะนอนก็สองยาม แล้วตื่นเช้าขึ้น แทนที่จะตื่น 10 โมงก็มาเป็นตื่น 7 โมง นอกนั้นมีฝึกเต้นและวอร์มร่างกายให้มันมีสเต็ป ช่วงที่ไม่มีคอนเสิร์ตชอบอยู่บ้านมากที่สุดค่ะ ได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง ไม่ต้องพูดอะไร ตอนกลางคืนดึก ๆ รู้สึกว่ามันคิดงานออกแล้วเราชอบท่องเพลงในเวลานั้น บางครั้งนอนหัวค่ำแล้วตื่นมากลางดึกก็มาท่องเพลงตัวเอง แต่ถ้าพักผ่อนจริง ๆ จะบินไปต่างประเทศเลย ส่วนชอปปิงก็ไม่ค่อยได้ช้อป ให้เขาเอาเสื้อผ้ามาให้เราดูที่บ้านด้วยซ้ำค่ะ”

พอจะมีโอกาสรับงานแสดงอีกไหม?

“ต้องบอกว่าผู้จัดละครหลายท่านน่ารักมากที่นึกถึงนันทิดา แต่ด้วยช่วงเวลาที่พี่เองมีงานตลอดเวลา และต้องดูด้วยว่าอะไรที่เหมาะกับเราจริง ๆ การเล่นละครมันสนุกนะ คนดูได้เห็นนันทิดาในอีกมุมหนึ่ง ถ้ามีบทที่โอเคและเหมาะสมกับตัวพี่ก็ยินดี พี่พยายามจัดสรรเวลาไม่ให้มันเหนื่อยจนเกินไป สมัยก่อนที่เราเข้าวงการมาใหม่ ๆ เราทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกันสบายมากเลย แต่ตอนนี้คงต้องลดลงสักสองอย่างพอไหม ถ้าจะสามสี่อย่างคงไม่ไหวแล้ว พี่มองที่คุณภาพของเนื้องานมากกว่าเม็ดเงิน แน่นอนใครก็อยากได้ชื่อเสียงที่เพิ่มพูนมากขึ้น แต่ถ้าทำแล้วตัวเองไม่สนุกผลเสียจะตามมา อีกอย่างเราก็อยากมีเวลาให้ลูกด้วย เพราะน้องเพลงก็โตขึ้นทุกวัน”

น้องเพลงตอนนี้เป็นวัยรุ่นแล้ว เขาเลี้ยงยากกว่าสมัยเป็นเด็กไหม?

“มันยากที่ตัวเรามากกว่า เพราะเราต้องปรับเข้าหาลูก พี่เลี้ยงน้องเพลงเหมือนที่คุณแม่พี่เลี้ยงพี่มาเลยคือใกล้ชิดกับลูกมาก ไม่ปล่อยให้ลูกไปไหนมาไหนเอง ถ้าแม่ไม่ไปก็ต้องให้คนขับรถไปส่ง จะไม่ให้ลูกขับรถเอง ซึ่งจริง ๆ แล้ววิธีการเลี้ยงลูกแบบนี้อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด คงต้องให้เขาได้เป็นตัวของตัวเองด้วย น้องเพลงเขาก็ชอบให้แม่อยู่ใกล้ ๆ นะ ไม่รู้สึกอึดอัดอะไร แต่เขาก็เคยบอกว่าถ้าแม่ไม่ปล่อยลูกบ้าง ลูกก็โตไม่ได้สักทีสิ น้องเพลงไม่ดื้อ เขามีความเป็นตัวของตัวเองสูงและเป็นคนตรง ถ้าเขาไม่ชอบอะไรจะบอกแม่ตรง ๆ เราจะคุยกัน บางอย่างเราอาจไม่เห็นด้วย จะขอทราบเหตุผล เขาก็จะบอกเหตุผลของเขา เขารู้ว่าคุณแม่เป็นห่วง เข้าใจคุณแม่ คุณแม่เหนื่อยจากงานแล้วยังจะต้องตามลูกไปอีกหรือไปรับไปส่ง คุณแม่จะเหนื่อยเกินไป อยากให้คุณแม่พักบ้าง เพลงโตพอแล้ว อายุ 19 แล้ว เราก็ให้เกียรติในการตัดสินใจของลูก พี่ไม่ได้ห่วงน้องเพลงในความเป็นวัยรุ่น เพราะเรามีการพูดคุยสื่อสารในครอบครัวกันตลอดตั้งแต่น้องเพลงยังเด็กว่า อะไรที่ควรทำไม่ควรทำ การวางตัว กาลเทศะต่าง ๆ หน้าที่ของลูกควรทำอะไรบ้าง ช่วงวัยรุ่นนั้นการเปิดใจรับฟังกันเป็นสิ่งที่สำคัญของทุกครอบครัวค่ะ”

สิ่งที่พี่ตู่เป็นห่วงน้องเพลงมากที่สุดคือเรื่องอะไร?

“สังคมปัจจุบันผู้คนมักเอาตัวรอดมากขึ้นจึงลืมมองเรื่องความถูกต้อง พี่จึงเน้นเรื่องความถูกต้อง ไม่ให้ไปทำอะไรที่ทำให้คนอื่นเขาไม่มีความสุข พี่ไม่ให้ลูกไปเรียนเมืองนอก เพราะช่วงวัยรุ่น สังคมของเพื่อนมีบทบาทสำคัญและมีอิทธิพลมาก พี่อยากเลี้ยงดูเขาอย่างใกล้ชิด แต่บางอย่างก็ปล่อยให้ลูกได้ออกไปเรียนรู้เอง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีนะ เขาจะเอะใจในเรื่องบางอย่างแต่ก็อยู่ได้ พอเจอคุณแม่ก็มาบอกว่ามันต้องจัดการอะไรบางอย่างนะ เราก็บอกลูกไปว่าเดี๋ยวลูกก็ผ่านไปได้ บางครั้งมีเรื่องเข้าใจผิดอะไร ลูกต้องเป็นฝ่ายไปคุยให้เขาเข้าใจ ไม่ใช่เขามาคุยให้ลูกเข้าใจ เรียกว่าเป็นหน้าที่ของลูกที่ต้องทำให้คนอื่นเข้าใจ ซึ่งเขาก็ต้องค่อย ๆ เรียนรู้”

เวลาที่พี่ตู่เป็นข่าวขึ้นมา ได้อธิบายให้ลูกเข้าใจอย่างไร?

“พี่ถือว่าทุกเรื่องมันทำให้น้องเพลงแข็งแรงขึ้น ได้เรียนรู้ในสิ่งที่เด็กหลายคนในวัยเดียวกันอาจไม่ได้เจอ พี่บอกลูกเสมอว่าสิ่งที่คุณแม่และครอบครัวคุณแม่ถูกสอนมาตลอดคือการอยู่กับความจริง เราต้องไม่กลัว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ครอบครัวแก้วบัวสายจะอยู่กันอย่างเหนียวแน่นมาก แค่ลูกเปิดใจให้กว้างแล้วมองทุกอย่างให้เป็นบวก มันอาจยากที่เขาจะมองได้แบบเราที่ผ่านชีวิตมาจนอายุ 50 กว่า มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับเด็กอายุ 19 แต่เราสอนและทำให้ลูกเห็นตลอด พี่เชื่อว่าสิ่งที่น้องเพลงได้เห็นมันมาจากการเห็นคนในครอบครัวพี่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นคุณตา คุณยาย เหมือนมันเป็นกระจกให้เขาได้มอง เท่ากับเขาได้มีแบบอย่างที่ดีตั้งแต่เด็ก นิสัยน้องเพลงเหมือนคนในครอบครัวพี่ค่ะ ไม่ใช่พี่คนเดียว ทั้งคุณพ่อคุณแม่พี่ พี่ชาย พี่สาวพี่ ดังนั้นครอบครัวต้องแข็งแรง ลูกจึงจะออกไปเผชิญกับสังคมภายนอกได้”

ห้ามลูกเรื่องมีแฟนหรือเปล่า?

“ไม่อยากให้ใช้คำว่าแฟนเลย คำว่าแฟนมันเป็นการผูกมัดตัวเองมากเลยนะว่าพอเรามีแฟนปุ๊บ เราไม่สามารถมีใครเดินเข้ามาทำความรู้จักกับเราได้อีกแล้ว พี่ใช้คำว่าเพื่อนสนิทดีกว่า สมัยตอนเราอายุ 19 เรายังไม่กล้ามีแฟนเลย แต่ตอนนี้พี่ว่ามันก็ไม่แปลก อายุ 19 เป็นวัยที่สวยงาม พี่ไม่ได้ปิดกั้นอะไรสำหรับใครที่จะมาเป็นเพื่อนสนิทของลูกสาว เพราะถ้าไม่มีคงจะแปลกนะ แต่เราก็คุยกับลูกตลอดเวลา ลูกรู้อยู่แล้วว่าลูกเป็นลูกของใคร ลูกอาจรู้สึกพิเศษกับใคร แต่คนนั้นต้องไม่ทำให้ลูกของแม่ร้องไห้นะ เท่านั้นเอง เขาก็มีพาเพื่อนสนิทมาให้ดูบ้างค่ะ ต้องเห็นหน้าเห็นตากันบ้าง เราต้องทำความรู้จักกับเพื่อนของน้องเพลงทุกคน ตอนนี้อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว มันเป็นสังคมที่กว้างมากขึ้นกว่าสมัยอยู่ไฮสคูล เขาจะมีเพื่อนใหม่อีกเยอะเลยด้วยซ้ำ”

สนับสนุนน้องเพลงให้เข้าวงการบันเทิงเต็มตัวไหม?

“ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของอนาคตนะ อะไรที่ลูกชอบและสนุกก็ทำ แต่เขายังไม่ได้ทำอะไรแบบฟูลออพชั่น อาจจะแค่ เฉียด ๆ เช่น เดินแฟชั่น หรือไปเต้นคอนเสิร์ตลุงเบิร์ด เพราะฉะนั้นถ้าลูกชอบอะไรคงต้องใช้เวลาเรียนอีกเยอะ น้องเพลงบอกชอบมิวสิคัล เขาก็ต้องฝึกฝนและหาประสบการณ์”

เขามีความกดดันจากความเป็นลูกนันทิดาไหม?

“น้องเพลงเป็นคนที่พร้อมจริง ๆ จึงจะลุย ที่เห็นตามงานของคุณแม่ยังไม่ต้องเคี่ยวมาก ๆ เหมือนเวลาไปขึ้นคอนเสิร์ตที่ต้องทำให้ดีที่สุด ซึ่งถ้าเป็นคอนเสิร์ตน้องเพลงเครียดแน่ ตัวพี่เองยังเครียดเลย อะไรที่ไม่มั่นใจน้องเพลงจะไม่ทำเลย แต่เขาค้นหาตัวเองจนรู้แล้วว่าตัวเองชอบอะไร เรื่องร้องเพลงเขาก็ยังไม่ได้ฝึกอย่างจริงจังก็เลยรู้สึกกดดันเหมือนกัน”

พี่ตู่วางแผนว่าจะวางไมค์เมื่อไร?

“มันเป็นความสุขและความสนุกของเรา ตรงนี้มันเลยบอกไม่ได้ว่าจะหมดอายุตอนไหนดีนะ (หัวเราะ) เพราะเราสามารถเลือกงานได้ว่าอันนี้สนุกก็ทำ ไม่สนุกก็ไม่ทำ แต่ถึงอย่างไรวันหนึ่งก็คงต้องเฟดตัวเองไป”

เวลาจะมีซิงเกิ้ลใหม่ขึ้นมา มันเป็นอะไรที่ยากขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า?

“ทุกงานมันยากที่จะเดาว่าตลาดต้องการอะไร แต่ความชัดเจนของเพลงนันทิดาก็คือ เพลงต้องเพราะทุกบรรทัดตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้าย เมโลดี้ต้องสวย เนื้อเพลงต้องให้อะไรแก่ผู้ฟัง นี่คือเครื่องหมายการค้าของนันทิดา อย่างเขานิยมเพลงแดนซ์กัน พี่ก็ไม่เคยออกเป็นแดนซ์ เขานิยมเรโทรกัน ก็ไม่เคยออกมาดนตรีแบบเรโทร ก็ยังเป็นนันทิดาอยู่แบบนี้ เรียกว่าสไตล์เพลงแบบอีโมชันนอล เพลงแดนซ์นั้นจังหวะดนตรีมัน เมโลดี้ไม่รู้ แต่เน้นขายคำ ขาย กิมมิคคำร้อง หรือขายท่าให้คนจำได้ แต่ของพี่ก็ต้องมีกิมมิคของคำเหมือนกันที่ให้คนจำได้ เช่น ขอเป็นคนหนึ่ง เมโลดี้สวย ความหมายดี คำว่าขอเป็นคนหนึ่งเป็นกิมมิคคำขายนะ ทุกคนจะจำได้ก็ตรงขอเป็นคนหนึ่งนี่แหละ หรืออีกเพลงคนจำคำว่าขอมือเธอหน่อยได้ ซึ่งเป็นเพลงสนุกแต่เมโลดี้ก็ยังสวยนะ ไม่ถึงกับแดนซ์ ซึ่งมันยากตรงที่ต้องค้นหาเมโลดี้สวยและเนื้อเพลงที่โดน มันยากที่สุดตรงนี้ พี่เต๋อ-เรวัต พุทธินันทน์ บอกเสมอว่านันทิดาไม่จำเป็นต้องอินเทรนด์อะไร มันต้องเป็นแบบนี้ เมโลดี้สวย ๆ ฟังง่าย ๆ ติดหู”

อะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้นันทิดาอยู่ในวงการมาได้ถึง 30 ปี?

“สมัยนี้ศิลปินเกิดขึ้นเยอะมาก จะมาไวไปไวหรือไม่ขึ้นอยู่ที่เพลง ไม่ได้อยู่ที่ตัวศิลปิน เพราะตัวศิลปินบางคนมากด้วยความสามารถและยังสดใหม่อยู่เลย แต่คงเป็นที่ตัวเพลงไม่ได้ฮิตก็เลยหายไป เพลงของพี่เป็นเพลงอีโมชันนอล มันเลยดูเป็นอมตะมั้ง พี่ยกเครดิตทั้งหมดให้โปรดิวเซอร์ทุกคน และผู้เขียนคำร้อง เช่น พี่นิ่ม สีฟ้า พี่ดี้ นิติพงษ์ สุรักษ์ สุขเสวี และอีกหลายคนที่ไม่ได้เอ่ยนาม รวมทั้งพี่เต๋อที่ทำงานร่วมกันมาตั้งแต่แรก บุคคลเหล่านี้ทำให้นันทิดายาวนานมาจนถึงทุกวันนี้ พี่เคยถามตัวเองว่าดีว่าคืออะไร คนเก่งเหรอ หรือคนที่มีอัลบั้มออกมาฮิตติดอันดับตลอดทั้งปี ซึ่งพี่ไม่ใช่นะ พี่ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ พี่มองว่าวันที่พี่โด่งดังที่สุดคือวันที่พี่ได้รับรางวัลจากฮ่องกงในวันที่ 31 พฤษภาคม 2521 ถ้าให้พี่ย้อนเวลากลับไปพี่รู้สึกว่าวันนั้นใช้คำว่า “ซูเปอร์สตาร์” ได้เลย แต่วันนั้นมันแค่เปรี้ยงเดียว หลังจากนั้นกราฟของนันทิดาก็นิ่งมาเรื่อย ๆ ไม่มีคำว่าโด่งดัง ไม่มีคำว่าเด่น แต่ความสำเร็จมันมีอยู่ในเนื้องานอยู่ในชีวิตของเราเป็นช่วง ๆ สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง นอกจากนี้ต้องไม่ลืมผู้ใหญ่ทุกคนบนตึกแกรมมี่ ตั้งแต่คุณไพบูลย์ พี่เล็ก บุษบา พี่ฉอด สายทิพย์ นี่คือคนที่ให้โอกาสเราทั้งหมด รวมถึงน้อง ๆ ทีมงานทุกคน ตลอดจนแฟนเพลงด้วยที่เขาไม่ถอดใจที่จะรักนันทิดา เขาเป็นกลุ่มที่ไม่ใหญ่แต่รักนานแล้วยังถ่ายทอดไปถึงลูกหลานอีก เพราะเด็กรุ่นใหม่หลายคนได้ฟังเพลงนันทิดาจากคุณพ่อคุณแม่ นอกเหนือจากนี้ก็คงเป็นที่การวางตัวของเรา การดูแลภาพลักษณ์ การซื่อสัตย์กับหน้าที่การงาน ยิ่งทำงานมากขึ้น เราก็ต้องเป็นผู้ฟังที่รับฟังมากขึ้นด้วย และพูดในสิ่งที่ควรพูด”

สุดท้ายนี้อยากให้พี่ตู่ฝากอะไรถึงแฟนเพลง?

“ขอบคุณความรักที่ยาวนานที่ส่งผ่านทุกถ้อยคำในเนื้อเพลง ความรู้สึกที่ผ่านมาหลายปีเวลาที่เราอยู่บนเวทีแล้วเห็นแฟนเพลงส่งหัวใจและรอยยิ้มให้เรา มันมีค่ามากเพราะเป็นความรักที่บริสุทธิ์จริง ๆ เราไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกันกับเขาเลย แต่ทำไมเราจึงมีความรักให้กันได้ยาวนานขนาดนี้ คำขอบคุณคงไม่พอ ไม่ทราบว่าจะหาคำไหนที่มากกว่าคำว่าขอบคุณจริง ๆ พี่ก็ขอมอบความรักกลับไปเช่นเดียวกันสู่หมื่นแสนล้านหัวใจของทุกคนที่ให้พี่ตู่มา สัญญาว่าจะดูแลตัวเองและทำหน้าที่ของการเป็นนักร้องให้ดีที่สุดเพื่อให้ความสุขแก่ทุกคนเท่าที่ตัวเองจะทำได้ นันทิดาก็คงจะอยู่ในความทรงจำที่นึกถึงกัน มันไม่ได้จางหายไป ยังมีเพลงที่สื่อความรักถึงกัน ในวันนี้เดอะโชว์มัสโกออนก็ยังต้องออนไปเรื่อย ๆ ฝากคอนเสิร์ตด้วยนะคะ 1 กุมภาพันธ์ 1 รอบเท่านั้นที่สยามพารากอนฮอลล์ เวลา 1 ทุ่มตรงค่ะ”

คงไม่ต้องบอกอะไร นอกจากคำว่า “อยู่กับความจริงให้ได้ คือ นันทิดา แก้วบัวสาย ของจริง”.