Inside Dara
‘ริชชี่’ ขอใช้เสียงวิจารณ์เป็นแรงผลักดัน

หลังจากได้โชว์ฝีมือการแสดงในภาพยนตร์อมตะ อย่าง “คู่กรรม” กับบทบาท “อังศุมาลิน” มาแล้ว ล่าสุดนางเอกสาว ริชชี่-อรเณศ ดีคาบาเลส ก็ได้ลองประเดิมละครเป็นครั้งแรกใน “สวยร้ายสายลับ” ถามถึงบทบาท “ร้อยตำรวจเอกเมษา” หน่อย?

“ตัวละครนี้มีความมุ่งมั่นตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นตำรวจค่ะ ซึ่งทางครอบครัวไม่ได้สนับสนุนเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังอยากที่จะเป็นตำรวจให้ได้ เพราะเป็นความตั้งใจ ซึ่งเมษาจะเป็นคนตรง ๆ แต่ปากกับใจกลับไม่ตรงกันในเรื่องความรัก ไม่ค่อยแสดงออกค่ะ สำหรับเรื่องนี้บู๊เยอะเลย หนูก็มีไปเรียนเทควันโด้และมวยไทย รู้สึกสนุกดี และก็ดีใจด้วยที่ได้มาเล่นละครค่ะ”

บทบาทนี้เหมือนหรือต่างจากตัวเรายังไงบ้าง?

“ต่างเกือบทุกอย่างเลยค่ะ เรื่องวัยก็ด้วย อย่างตัวนางเอกอายุจะ 30 แล้ว ชีวิตเขาผ่านงานมาเยอะ เป็นตำรวจที่เคยปลอมตัวมาหลายอย่าง มีจริตของผู้หญิงที่เอาไว้ใช้ในการทำงาน มีความเข้มแข็ง ไม่กลัวใคร ส่วนที่คล้ายกับตัวหนูก็น่าจะเป็นเรื่องที่นางเอกเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงออกในเรื่องความรัก แต่สิ่งที่แตกต่างกัน คือหนูเป็นคนขี้อาย สิ่งที่ยากที่สุดในเรื่องนี้ ก็คือช่วงที่ปลอมตัวค่ะ มันต้องใช้จริตของผู้หญิง บางทีเราดูเด็กไป ต้องแสดงให้ดูโตกว่านี้”

คาดหวังกับการเป็นนางเอกละครเรื่องแรกแค่ไหน?

“อยากให้ทุกคนลองติดตามดูค่ะ เรื่องนี้หนูได้เรียนรู้และฝึกฝนเยอะขึ้น อยากให้ติชมกัน ส่วนตัวหนูก็รู้สึกกดดันเหมือนกันกับการรับบทนางเอก หนูอยากให้ละครออกมาดี เพราะทุกคนตั้งใจมาก เราก็พยายามเต็มที่ที่สุดแล้ว สำหรับคำว่านางเอก ในตอนที่เราเข้าวงการมาใหม่ ๆ ก็ไม่ได้คิดว่าบทนี้สำคัญ แค่ตั้งใจทำให้ดีที่สุด แต่ตอนนี้เราได้เรียนรู้และเห็นฟีดแบ็กต่าง ๆ ก็ทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เราได้รับมันยิ่งใหญ่มาก ไม่เคยคิดว่าเลยว่าจะได้โอกาสดีขนาดนี้ บางครั้งที่เรารู้สึกท้อ แม่จะบอกว่าอดทนนะ สู้นะ เพราะการมาอยู่ตรงนี้มันคือโอกาสที่ดีค่ะ”

จากนักกีฬาแบดมินตันสู่การเป็นนักแสดง ต้องปรับตัวเยอะมั้ย?

“ปรับเยอะเลยค่ะ เพราะการแสดงต้องเริ่มใหม่ แต่นักกีฬากับนักแสดงก็ยังมีส่วนคล้ายกันในเรื่องของการฝึกฝน เพราะในการเป็นนักกีฬากว่าจะมาถึงจุดที่เราตั้งความหวังได้ หนูก็ซ้อมเยอะมาก ส่วนเรื่องการแสดงหนูคิดว่าตัวเองยังมีความรู้ตรงนี้น้อย เราต้องพัฒนาตัวเองต่อไป และคิดว่าอนาคตคงพัฒนามากขึ้นค่ะ”

ทุกวันนี้คิดว่าตัวเองยังมีอะไรต้องปรับอีกบ้าง?

“เท่าที่ได้ยินกระแสวิจารณ์ ก็จะเป็นเรื่องเสียง เพราะหนูติดพูดเป็นเด็ก ชอบพูดอยู่ในคอ ต้องฝึกพูดเสียงให้สูงขึ้น แล้วเราก็ดัดฟันด้วย เลยติดการพูดไม่ชัดมาบ้าง สำหรับในช่อง 3 ที่มีนางเอกเยอะ ส่วนตัวหนูไม่ได้รู้สึกต้องแข่งขันกับใครเลย หนูรู้สึกว่าการที่เราได้รับโอกาสมาทำงานตรงนี้ เราทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดก็พอแล้ว ไม่ได้คิดถึงการต้องเป็นนางเอก แค่ผู้ใหญ่ให้โอกาสเรา แค่นี้ก็ดีใจมากแล้วค่ะ”

ในฐานะนักแสดงหน้าใหม่ เราก็เป็นอีกคนที่ได้รับเสียงวิจารณ์เรื่องการแสดงเยอะ เหมือนกัน รู้สึกยังไง?

“ตอนแรกก็ตกใจค่ะ (ยิ้ม) เพราะเราก็อยู่แค่กับครอบครัวและเพื่อน ๆ ซึ่งตั้งแต่เด็กจนโต เพื่อนเราก็ไม่เคยพูดจาไม่ดีด้วย คือเราเข้าไปอ่านคำวิจารณ์ต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ตที่เขียนถึงเรา บางคำมันก็ฟังดูแรงจัง แต่พอเราโตมากขึ้น ก็เข้าใจมากขึ้น เราก็รู้สึกโอเค คำติไหนที่เราคิดว่าควรนำมาปรับปรุง ก็นำมาใช้ ส่วนคำพูดไหนที่มันไม่ใช่ หนูก็จะไม่เก็บเอามาค่ะ”

ละคร “สวยร้ายสายลับ” ยังไม่ทันออนแอร์เลย ก็มีกระแสข่าวออกมามากมายแล้ว บั่นทอนกำลังใจบ้างมั้ย?

“ตอนแรกก็เสียใจนะคะ แต่เราก็คิดอีกอย่างว่าเรายังมีคนติดตามผลงานเราอยู่ และนี่เป็นครั้งแรกที่หนูได้โอกาสเล่นละคร ถ้าเราทำออกมาโอเค แค่มีคนติดตามชมก็ดีใจแล้ว และเราก็อยากพัฒนาให้คนที่เป็นแฟนคลับเรา คนที่รักเรารู้สึกดี ส่วนคำวิจารณ์เหล่านั้นก็เหมือนเป็นแรงผลักดันให้หนูเหมือนกัน อย่างเวลาที่เราเห็นคนมาติเราเรื่องการแสดง ตอนเรียนแอ๊คติ้งหรือถ่ายทำเราก็ยิ่งอยากจะทำให้ดีขึ้น ผู้ใหญ่ในวงการก็ให้คำแนะนำเยอะ อย่างอายุ-ยุวดี ก็สอนและเป็นห่วงเรา ก็ดีใจค่ะที่เขาเอ็นดู ส่วนคำแนะนำที่อายุให้คือบอกเราต้องโตได้แล้วและดูแลตัวเอง อย่าทำตัวมึน ๆ ไม่รู้เรื่อง เพราะยังมีอะไรหลายอย่างที่น่ากลัวค่ะ”

เวลามีเสียงวิจารณ์ที่ไม่ดี เรารับมือกับมันยังไง?

“พี่ ๆ ในวงการก็จะบอกว่าไม่เป็นไร ที่เขาพูดเพราะเขาไม่รู้จักเรา ให้แคร์คนที่เขารักและหวังดีกับเราค่ะ ถามว่าเสียงติเคยทำให้เราน้อยใจจนไม่อยากเป็นดารารึเปล่า จริง ๆ มันเหมือนว่าตอนที่เราและทีมงานทำงาน เราก็ตั้งใจและเหนื่อยกันมาก คือหนูไม่ได้เสียใจที่เขามาว่าหนูนะ แต่เวลาที่มีคนมาว่าทีมงานหรือผู้กำกับ เราก็จะคิดว่าเป็นเพราะหนูด้วยรึเปล่า ถ้าหนูเล่นได้โอเคกว่านี้ เขาจะไม่โดนว่าใช่มั้ย แต่ทีมงานทุกคนก็บอกว่าเราตั้งใจและโอเคแล้ว ทีมงานทุกคนไม่ได้ว่าเราเลย แต่เราก็ยังรู้สึกว่าอยากทำให้เขาภูมิใจและหายเหนื่อย เลยรู้สึกเศร้านิดนึง แต่มันเลยยิ่งทำให้เรายิ่งพยายามขึ้นนะ อยากพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ที่เขาให้โอกาสเรา เราก็ไม่ได้ทำให้เขาเสียใจ ส่วนกำลังใจสำคัญของหนูเลยก็คือครอบครัวค่ะ และด้วยความที่เราเป็นคริสเตียน หนูก็จะอฐิษฐานกับพระเจ้า และคิดเสมอว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น พระเจ้าท่านได้เตรียมแผนการที่ดีที่สุดให้กับเราเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หนูจะขอบคุณท่านเสมอ เพราะว่านี่คือสิ่งที่ท่านอยากให้เกิดขึ้นกับเรา ให้เราได้เรียนรู้ และที่สุดแล้วท่านก็จะไม่ทอดทิ้งเราค่ะ สำหรับความคาดหวังกับงานในวงการ หนูก็อยากทำให้ดีที่สุด และถ้าทุกคนยังให้โอกาส หนูก็พยายามต่อไป อะไรที่เป็นคำติคำชมต่าง ๆ หนูก็จะเอามาพัฒนาปรับปรุงค่ะ”

คิดว่าเข้ามาในวงการนี้สอนอะไรมากที่สุด?

“ทำให้เราโตขึ้น ได้ทำงานกับผู้ใหญ่หลายคน เราก็ต้องพยามมากขึ้นในทุกอย่าง มีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ เข้าวงการคุณพ่อคุณแม่ก็เป็นห่วงเรื่องที่เราเป็นคนคิดมาก ท่านบอกว่าถ้าไม่ไหวก็กลับบ้านมานะ แต่เราก็อยากทำให้พ่อแม่ภูมิใจ อีกอย่างเราก็คิดว่า ถ้ายังทำไม่สำเร็จ มันก็เหมือนว่าเรายอมแพ้ เลยอยากเอาชนะ อยากทำให้ได้ เมื่อวันนึงที่หนูทำงานในวงการได้สำเร็จแล้ว หนูก็อยากกลับไปอยู่กับครอบครัวก็ได้ แต่ตอนนี้หนูยังทำไม่ได้เลย เลยอยากลองทำดูก่อน แต่ไม่แน่นะคะ ถ้าหนูโตกว่านี้ ความคิดก็อาจเปลี่ยนไปอีกก็ได้ค่ะ”

มีคติที่ยึดถือประจำบ้างมั้ย?

“ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ด้วยความที่หนูเป็นนักกีฬา เลยมีคติว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” ค่ะ อย่างตอนที่เราเล่นกีฬา เราก็จะคิดว่าไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ ถ้าเราตั้งใจกับมันจริง ๆ ต้องทำได้อยู่แล้ว ไม่เกินความสามารถของเรา แต่งานในวงการมันก็ต่างจากกีฬานะ เพราะตอนเป็นนักกีฬาเราก็แค่ทำหน้าที่ของเรา ไม่จำเป็นต้องโฟกัสคนอื่น เวลาลงแข่ง เราก็แค่สู้กับลูกขนไก่ แต่งานในวงการมันมีหลายอย่าง เหมือนเราเป็นศูนย์กลางที่คนรู้จัก แต่ก่อนเวลาที่ออกไปข้างนอกบ้าน หนูก็ไม่พูดกับใคร ก้มหน้าเดินของเราไป แต่เดี๋ยวนี้แม้เราจะไม่รู้จักเขา แต่เขาก็รู้จักเรา ดังนั้นเขาก็เหมือนเป็นเพื่อนเรา เวลาเจอก็ทักทายกัน ตอนนี้หนูต้องพูดเยอะขึ้น คือหนูเป็นคนไม่พูดตั้งแต่เด็ก ๆ เมื่อก่อนถ้าไม่สนิทเราก็ไม่พูดเลย เพราะคิดไม่ออกว่าต้องพูดอะไร ตอนนี้เลยต้องปรับหลายอย่าง และต้องเอนเตอร์เทนคนอื่นด้วยค่ะ”

ถามถึงเรื่องหัวใจบ้าง?

“ไม่มีใครเลยค่ะ หนูเรียนโรงเรียนหญิงล้วนตั้งแต่เด็ก เลยไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย อยากอยู่กับครอบครัวมากกว่า ซึ่งเข้าวงการมาก็ไม่มีใครมาจีบหนู ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม (ยิ้ม) ถามว่าหนูเปิดใจมั้ย จริง ๆ ไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยค่ะ เราไม่เคยมีเพื่อนผู้ชายแบบนี้ เวลาเห็นคนมีแฟนเราก็จะรู้สึกแปลกมาก ซึ่งหนูก็ยังไม่อยากมีแฟน ความรักแบบเพื่อน พี่น้อง และครอบครัว มันดูเป็นความรักที่จริงใจและไม่ได้หวังอะไรมากกว่าค่ะ”

ผู้ชายที่จะเอาชนะใจริชชี่ได้ ต้องเป็นยังไง?

“หนูก็ชอบดาราเกาหลีนะคะ แต่ถ้าวันนึงเขามาจีบ หนูคงกลัวเหมือนกัน (หัวเราะ) และคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ส่วนนิสัย หนูชอบคนดี จริงใจ ดูอย่างในซีรีส์เกาหลี ที่พระเอกเป็นสุภาพบุรุษ นางเอกไม่สวยแต่พระเอกยังปกป้องทุกอย่าง ไม่มองคนอื่นเลย ต่อให้คนอื่นสวยแค่ไหน แต่ในสายตาเขานางเอกก็สวยที่สุด หนูอยากได้แบบนี้ มันดูเป็นรักแท้ค่ะ”

เชื่อพรมลิขิตมั้ย?

“สำหรับหนูเมื่อถึงเวลาที่พระเจ้าประทานให้ก็จะมีเข้ามาเอง เราไม่ต้องพยายามหาเลย แต่ถ้าพระองค์อยากให้เราอยู่แบบนี้ แปลว่าต้องมีทางที่ท่านวางแผนให้เราแล้ว และเราก็ทำไปตามนั้นค่ะ หนูไม่กลัวโสดหรือขึ้นคาน พี่สาวหนูก็ไม่มีแฟนนะ เขาก็บอกว่าเดี๋ยวเราจะอยู่ไปด้วยกันแบบนี้จนแก่ แล้วเดี๋ยวมาทำธุรกิจด้วยกัน (ยิ้ม)”

ท้ายสุดมีอะไรอยากฝากบอกแฟน ๆ บ้าง?

“ขอบคุณตั้งแต่วันแรกที่หนูเข้ามาในวงการ ขอบคุณกำลังใจที่ทุกคนมอบให้ หนูรู้ว่าทุกคนเป็นห่วงและสอนหนู หนูก็จะพัฒนาค่ะ ขอบคุณที่ได้มารู้จักกันค่ะ”

เห็นความมุ่งมั่นของเธอแบบนี้ เชื่อว่าสักวันนึง เธอต้องทำให้คนมาชื่นชมในความสามารถของเธอได้อย่างแน่นอน