Inside Dara
เซ็กซี่เกินต้าน “ธัญญ่า อาร์สยาม” ไม่ได้มาเล่นๆ

สวยแซ่บพร้อมฟาด...ด หลังกู้หุ่นคืนสำเร็จ! ธัญญ่า อาร์สยาม ถ่ายแฟชั่นสุดเซ็กซี่จนหนำใจแล้ว สาวธัญญ่าได้เล่าว่า เป็นครั้งแรกที่ถ่ายชุดว่ายน้ำในสตูดิโอ ทำให้โพสยากๆหน่อยจะแตกต่างเวลาอยู่ทะเล จะมีฟีลลิ่งมากกว่า บวกกับตนเองไม่ใช่นางแบบมืออาชีพ ทำให้โพสไม่เก่งแต่โชคดีพี่ช่างภาพเก่ง ช่วยจัดท่าให้แถมได้พี่ๆทีมงานบิลต์ เก่งภาพเลยออกมาดี ยิ่งเห็นรูปทุกช็อตทำเอานางแบบแฮปปี้กับผลงานชิ้นเอกไม่น้อยเลย เรียกความมั่นใจเกินร้อยไปอีก...กก

จากนั้น ธัญญ่าได้เล่าถึงภาพยนตร์เรื่อง “เลิฟเลย 101” ที่ตนเองขึ้นแท่น “นางเอก” เต็มตัวเรื่องแรก หลังโดนพิษโควิด-19 จนต้องเลื่อนฉายมาปลายปี “พอรู้จะได้เล่นหนังกับพี่หม่ำ จ๊กมก ไม่คิดรีรอเลยค่ะ เพราะเป็นไอดอลของเราตั้งแต่เด็กๆ ดีใจมากๆที่ได้รับโอกาสนี้ คาแรกเตอร์จะเป็นเด็กอายุ 17-18 จะจบ ม.6 ซึ่งตอนนั้นธัญญ่าอายุ 22 ปี บทจะเป็นเด็กซนๆแก่นๆ ชอบดาบแดง ก็ตามจีบเขาเลย”

ต้องเลิฟซีนกับรุ่นใหญ่เขินมั้ย “ฉากเลิฟซีน ดราม่า ยังไม่รู้เกร็งเพราะเราก็อินกับตัวละคร ซีนที่เขินจริงๆ คือซีนต้องตบหัวพี่หม่ำ ทำใจไม่ได้ ต้องตบหลายครั้งด้วยมุมกล้องและตบไม่แรงด้วย เลยเป็นสิ่งที่ยากสุด และมีโอกาสได้ผู้ใหญ่หลายๆท่าน ได้ร่วมงานกับพ่อสมรักษ์ คำสิงห์ อันนี้ก็ยากควบคุมตัวเองจะหลุด ขำตลอดๆ เพราะพ่อสมรักษ์พูดไม่ชัด เรื่องนี้ครบรส แต่อยู่ในขอบเขต ส่วนที่เจอดราม่าเป็นหนังพรากผู้เยาว์?! เรื่องนี้หนูอยากให้ทุกคนมาดูหนังก่อน สิ่งที่สามารถยืนยันได้เลยว่าเป็นความรักที่ไม่ได้ผิดต่อศีลธรรม อยากให้เปิดใจไปดูเนื้อเรื่องก่อนว่าเป็นแบบไหน พล็อตแบบไหน เหมือนกับเราเจอคนครั้งแรกแล้วเราไปตัดสินเค้าที่ภายนอกเลยก็ไม่ได้”

ไหนๆก็ขึ้นแท่น “นักร้องสายมู” เลยต้องถามกันตรงๆ หนังเรื่องนี้แอบมู แอบบนบาน ศาล กล่าวที่ไหนมาหรือเปล่า เจ้าตัวทำหน้าครุ่นคิดก่อนนึกขึ้นมาได้ว่า “หนังเรื่องนี้ ถ่ายมา 3 ปีแล้ว นานมากจนแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่าได้บนที่ไหน บ้าง แต่จำได้ว่ามีขอกับศาลหลักเมือง จ.ร้อยเอ็ด ธัญญ่าขอว่าถ้าหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จทำรายได้ 100 ล้าน จะตัดผมสั้นเหมือน ในหนังและเอาวงดนตรี-นักร้องไปร้องเพลงไปเล่นรอบโบสถ์ถวายศาล เจ้าพ่อหลักเมืองค่ะ

ยิ่งช่วงหลังๆถ้าใครติดตามข่าวจะเห็นว่าหนูกับพี่ลาล่า อีกในนามนึงเขาจะเรียกลูกสาวพญานาค เราจะเป็นการรำบวงสรวงเพื่อถวายความบันเทิงให้กับปู่ย่า พญานาค มีการสร้างองค์ปู่ย่าถวายตามวัด ตั้งใจไว้ 9 สร้างได้แล้ว 1 กำลังขึ้นองค์ที่ 2 ตอนนี้ทำบุญหลายหมื่นไม่เสียดายเงินทำบุญเลย งงเหมือนกันมาถึงจุดที่ทำบุญครึ่งต่อครึ่งของรายได้ของเราเลยเหรอ ไม่ได้รู้สึกว่าเยอะ ทำแล้วสบายใจค่ะ”

เพราะหนังเลิฟเลย 101 เรื่องนี้จะเป็นพล็อตเรื่อง “รักต่างวัย” ก็เลยอยากรู้แหละว่าธัญญ่าดึงจากประสบการณ์จริงมาใช้หรือเปล่า เพราะนอกจอเราก็คบกับพี่อ๊อฟ-ศุภณัฐ ก็อายุห่างกันหลายปีเช่นกัน ...“จริงๆหนูเป็นคนชอบคนมีอายุมากกว่าอยู่แล้วค่ะ เพราะเราเป็นคนทำงานตั้งแต่เด็ก รู้สึกว่าคนที่เราจะคุยด้วยจะต้องโตกว่าและเข้าใจในงานของเรา เข้าใจว่าเราทำงานได้ดีกว่าคบคนวัยเดียวกัน แล้วธัญญ่ากับพี่อ๊อฟก็ห่างกัน 11 ปี จริงๆเห็นคู่อื่นห่าง 15 ก็ไม่แปลก แค่บรรลุนิติภาวะก็ไม่ใช่เรื่องปี ที่ผิด ความรักเพศเดียวกันก็ยังไปกันได้

ทุกวันนี้สังคมรณรงค์สิทธิเท่าเทียมกันอยู่แล้ว การคบกัน ความรัก ศัลยกรรม ทุกวันนี้สังคมเปิดกว้างทำให้รีแลกซ์มากขึ้น ตัวธัญญ่าเองมีรอยสักแต่ก่อนไม่กล้าเปิด ไปสักมา 3 ปีที่แล้ว มาวันนี้ทุกคนเห็น เอฟซีเห็น ไม่มีใครมาว่าสักมาแล้ว ทำให้ทุกวันนี้กล้าเปิดเผยมากขึ้น อย่างศัลยกรรม หนูทำจมูกมา เมื่อก่อนจะกลัวแฟนคลับจะว่าหรือเปล่า? แต่ตอนนี้เขาเข้าใจและทุกคนชมว่าสวยขึ้นก็ไม่ได้มีคอมเมนต์ไม่ดีเลย ในวัยของเราปีนี้อายุ 25 แล้ว เราอยากโตขึ้น ได้ไปตามงานแถลงข่าวเราอยากให้คนเห็นว่าเราสวยเพื่อที่งานเราจะดีขึ้นเป็นการต่อยอดมากกว่า”

งานปังแต่ต้องเผชิญหน้ากับชีวิตที่ถาโถมเข้ามา ธัญญ่า อาร์สยาม เล่าด้วยว่าชีวิตช่วงหนึ่งของตนเองอารมณ์ดิ่งสุดๆ เครียดมาก ถึงขั้นเป็น “โรคซึมเศร้า” จนต้องพบจิตแพทย์...“จากข่าวที่เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวแล้วหนูมีภาวะเครียดสูงแล้วสะสม หนูเลยเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรงอยู่ ตอนนี้กำลังรักษาอยู่ ด้วยตัวโรค สารเคมีในร่างกายมันเปลี่ยน มีความหงุดหงิดง่าย อารมณ์ขึ้นลงเร็ว บางทีใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมกับคนรอบข้าง กับพี่อ๊อฟจะบอกเขาไม่ไหวให้บอกนะ จนเราเริ่มรู้สึกว่าความสัมพันธ์เรามันแย่ลงก็เลยตัดสินใจคุยกัน เราถอยกันก่อน ไม่เจอ 7 วัน ไม่มีคุยกันเลย เราคิดถึงกันหรือเปล่า? ยังรักกันหรือเปล่า?

สุดท้ายพอกลับมา 7 วัน ทำให้เรารู้ว่ารักกันมากและคิดถึงกันมาก เรามานั่งคุยกันใหม่เราจะปรับกันตรงไหน พี่อ๊อฟพาไปคุยกับหมอ ธัญญ่าก็เล่าอาการให้หมอและพี่อ๊อฟฟัง มีนักจิตวิทยา เชื่อมถึงกันด้วยว่าหนูเป็นแบบนี้ ก็รักษามาได้เดือนกว่าๆแล้วค่ะ อาการดีขึ้น เราได้คุยกันมากขึ้น พี่อ๊อฟไม่ชอบอะไร ไม่พอใจอะไรจะคุยกัน ต่อไปไม่ชอบอะไรเราจะบอกกันตรงๆ อาการของหนูก็ดีกว่าเดิม ทุกอย่างดีขึ้น ในเรื่องของครอบครัวเราก็ดีขึ้นด้วย ทุกอย่างค่อยๆดีขึ้น พี่อ๊อฟอยู่ข้างๆหนูในทุกเวลา ก็เลยพอห่างกันรู้เลยถ้าเราเสียเขาไปไม่มีเซฟโซน เขาคือเซฟโซนของเราเวลาที่เรามีปัญหา”

อะไรที่ทำให้เราตัดสินใจกล้าที่จะเข้าไปคุยกับคุณหมอจิต เข้าไปไม่กลัวคนเข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นบ้าเหรอ “พยายามที่จะหายเองแล้วค่ะ เริ่มสังเกตอาการตัวเอง เรื่องครอบครัวดีขึ้นแต่ทำไมเรายังเศร้า อารมณ์เราถึงดิ่ง ทำไมเราร้องไห้ง่ายกับทุกอย่าง ทำไมอารมณ์เราเป็นแบบนี้ ทำไมควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เลยไปหาหมอดีกว่า อยากให้ทุกคนเปิดใจที่จะไปหาคุณหมอ แล้วมันดีมากจริงๆ ทำให้เราคิดไตร่ตรองๆ ค่อยพูดค่อยทำ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นบ้า คนเป็นบ้าจะเป็นอีกแบบนึง แต่ถ้าอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ไม่รักษานั่นแหละจะเป็นบ้าได้จริงๆค่ะ”.