Inside Dara
“เจมส์ มาร์” เปิดปมในใจ ผิดหวังกับรักครั้งแรก ตอนอายุ 15 ปี และไม่กล้ามีความรักอีก!

“เจมส์ มาร์” ยอมรับเคยผิดหวังกับรักครั้งแรกตอนอายุ 15 ปี เลิกเพราะห่างกัน งี่เง่า และเด็กเกินไป ไม่คิดให้รอบด้าน อยากเจอคนที่พร้อมจะดูแลให้ได้ดีกว่าแฟนคนแรก โอดอยากมีรัก แต่กลัวต้องเจอรักที่ไม่ดี ประกาศรักครั้งต่อไปต้องยืนยาว ไม่มีช่วงโปรโมชั่น

แฟนคลับอาจจะงง ว่าทำไมตี๋สุดหล่อ พระเอกช่อง 3 “เจมส์ มาร์” ถึงไม่มีแฟน ไม่มีข่าวคราวขายขนมจีบสาวสักคน ทั้งที่วงการมีแต่คนหน้าตาดีเต็มไปหมด โดยล่าสุดเจ้าตัวได้เผยเรื่องความรักกับ MGR Online ชนิดเอ็กซ์คลูซีฟ โดยยอมรับว่าเคยมีแฟนครั้งแรกตอนอายุ 15 และหลังจากนั้นก็ไม่มีแฟนอีกเลย พร้อมเผยถึงสิ่งที่อาจเป็นปมในใจ

“ถามว่าเหงามั้ย ถ้าตอบว่าไม่มันก็คงไม่มีใครเชื่อหรอกครับ ผมเชื่อว่ามันก็ต้องมีความคิดมาบ้าง วิธีบำบัดความเหงาเยอะมากครับ เพราะส่วนใหญ่ผมมีกิจกรรมทำวันนึงเยอะมาก เช้าไปก็ตีกอล์ฟ กลับมาก็เล่นฟิตเนส ตกดึกก็เล่นเกม ดูบอลคือมันมีอะไรให้ทำเยอะมากซะจนเราลืมคิดถึงเรื่องพวกนี้ไปได้เลยครับ รวมไปถึงการทำงานอีก”

“เพราะฉะนั้นในหนึ่งวันในหนึ่งอาทิตย์ผมเจอคนเยอะมาก ไม่ค่อยมีช่วงเวลาที่อยู่คนเดียว ช่วงเวลาที่อยู่คนเดียวก็คือกลับบ้านดูทีวีดูหนังหลับ แค่นั้นครับคือมันมีช่วงเวลาแค่แป๊บเดียวเลยที่เราจะรู้สึกเหงา แล้วก็ไม่ได้เป็นคนที่จริงจังกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แต่ถามว่าจริงจังมั้ยก็จริงจังแต่ว่าไม่ได้รีบในเรื่องนี้ครับ เพราะเป็นคนเชื่อว่าเป็นคนกลัวที่จะต้องเสียใจ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเราจะเจอใครสักคน เราจะคบกับใคร ผมว่าให้เป็นเรื่องของธรรมชาติและให้เป็นเรื่องของพรหมลิขิตที่ลิขิตมาแล้วดีกว่า”

เล่าบทเรียนรักฉบับปั๊บปี้เลิฟ กับตอนจบที่ไม่สมหวัง

“ผมเคยมีตอนปั๊บปี้เลิฟ ตอนอายุ 15 ตอนนั้นมีแฟน ตอนก่อนที่จะมาเมืองไทยครับ แล้วผมก็รู้สึกว่ามันเป็นความสัมพันธ์แบบระยะยาวครับ แต่พอเราผิดหวัง เราก็เสียใจ เราก็รู้สึกว่าทำไมความรักมันเป็นแบบนี้ มันเป็นความรักที่ห่างซึ่งกันและกัน แล้วก็ต้องมาจบลงทั้งๆ ที่เราก็ยังไม่ได้เต็มที่กับมัน มันก็เลยเป็นบทเรียนให้เรารู้ว่าถ้าเรายังไม่เต็มที่ ที่จะมีความรัก ถ้ายังไม่พร้อม ก็อย่าไปดันกับมัน รอให้เราพร้อมและความรักเข้ากันได้”

“ถามว่าเราคาดหวังขนาดนั้นเลยเหรอ ตอนนั้นมีแฟนคนแรก แต่คือเป็นคนคิดเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่อย่างที่บอกว่าตอนนั้น ไม่ได้คิดหรอกว่าจะอยู่ด้วยกันยาวๆ แต่ก็ไม่ได้อยากให้เลิกกัน ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากเลิกกับแฟนตัวเองหรอกครับ ไม่มีใครอยากจะเสียใจ ซึ่งตอนนั้นก็คบกันเกือบปี”

“ผมเป็นคนจริงจังในเรื่องแบบนี้ครับ เพราะผมรู้สึกว่าเรื่องของความรู้สึก เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างคน เราควรจะคิดถึงมันให้รอบคอบมากขึ้น ยอมรับว่ามีเพื่อนเยอะขึ้น แต่เราก็ยังไม่เจอใครที่เรารู้สึกว่าเราอยากจะดูแลเขาถึงขั้นนั้น และเขาก็อยากดูแลเรา”

“ถามว่าเลิกกันเพราะไร เหมือนเด็กๆ เลิกกันครับ งอนกันไป งอนกันมา คุยกันไม่รู้เรื่อง ถ้าจำไม่ผิดประมาณนั้นครับ มันนานซะผมจำไม่ได้ล่ะ คือตอนนั้นผมอยู่ฮ่องกง เป็นช่วงที่ผมกำลังมาเมืองไทย แต่เขาอยู่ฮ่องกง มันเลยเกิดช่องว่างและระยะทางที่ไกลกันด้วย การเป็นนักแสดงอันนี้ก็ไม่เกี่ยวครับ ไม่ได้เลิกกันเพราะเป็นนักแสดง คือเลิกกันด้วยเวลามันต่างกัน ไม่ค่อยได้เจอกันด้วย เป็นช่วงวันรุ่นอาจจะมีงี่เง่าไปบ้าง”

ตั้งเป้ารักครั้งต่อไปต้องยืนยาว และดูแลได้

“แน่นอนครับ ผมว่ามันอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องประมาณนึงเลยแหละ แต่กว่าผมจะมีแฟนได้เนี่ยอายุ 14 15 ซึ่งตอนนั้นเพื่อนผมในโรงเรียนที่ฮ่องกงมีแฟนกันตั้งแต่อายุ 11 แล้ว ที่นั่นเป็นโรงเรียนนานาชาติ และเด็กที่เป็นเด็กฮ่องกง เขาก็จะเปิดเผย เขาก็มีแฟนกันเร็วครับ ซึ่งจะแตกต่างจากเมืองมั้ย ดังนั้นผมจะอยู่กับสิ่งแวดล้อมแบบนี้ค่อนข้างเยอะ เราก็คิดนะครับว่าเมื่อไหร่เราจะมีแฟน พอได้มีปุ๊บ เราก็เสียใจเลย เราเลยจะตั้งเป้ากับตัวเองว่า ถ้าเกิดจะมีก็อยากให้มันเป็นอะไรที่ๆ มันยืนยาวและเป็นอะไรที่เราจะดูแลความรักครั้งนั้นได้จริงๆ”

“ตอนนั้นเราก็เชื่อว่ามันจะไปได้ ด้วยความเป็นเด็กของเราด้วยแหละ เราก็ไม่โทษ เราบอกเลยว่าเราก็คือเด็ก จัดการอะไรก็ไม่ค่อยได้ คือเหมือนตอนนั้นก็คิดได้อยู่แค่ด้านเดียว คือเด็กมันคิดได้อยู่แค่ด้านเดียว คือเราไม่ผิดนิ ทำดีที่สุดแล้ว มันคิดได้แค่นี้ไงครับ ถามว่าเสียดายมั้ย ก็คือถ้าพรหมลิขิต ลิขิตให้เป็นแบบนี้เราก็ยอมรับ แต่ก็เป็นบทเรียนให้เราได้มาถึงทุกวันนี้ครับผม”

หลังจากนั้นก็ไม่มีความรักอีกเลย

“ความรักถ้านิยามว่าคนหรือว่าแฟนอะไรอย่างนี้ ก็ไม่มีครับ ยังโสดมาตลอดถึงทุกวันนี้ แต่ถามว่าตลอดเวลาที่ผ่านมารู้จักคนเยอะขึ้นมั้ย รู้จักคนเยอะขึ้นครับ มีบางคนที่เราอาจจะรู้สึกแบบว่าเฮ้ย...คนนี้น่ารักดี แต่คือมันยังไม่ถึงขั้นที่เราจะเดินเข้าไปดูแลเขาครับ เพราะเรารู้สึกว่าเรายังไม่พร้อม”

“ผมก็คิดว่าผมปิดกั้น เมื่อสองปีที่แล้ว ผมก็มาถามตัวเองว่า เฮ้ย ปล่อยวางก็ได้เรื่องพวกนี้ ก็เลยเป็นจุดที่ทำให้เราสบายๆ มากขึ้น ซึ่งตอนนี้ไม่คิดแล้ว ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม ทุกอย่างเหมือนเดิม ยังไม่ได้รีบ แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือเหมือนมีเพื่อนมากขึ้น รู้สึกว่าเรามีเพื่อนมากขึ้นรู้จักคนมากขึ้น คือเราเปิดตัวเองเพื่อจะไปคุยกับคนโน้นคนนี้รู้จักกับคนโน้นคนนี้ให้มากขึ้น”

“เราเปิดความคิดของตัวเองมากขึ้น ก็กลายเป็นว่าทุกวันนี้เพื่อนเต็มช่องเลยครับ รู้จักกันไปหมดเลยครับมีเพื่อนตั้งแต่เด็กใหม่จนผู้ใหญ่ คือรู้จักคนใหม่ๆ ให้มากขึ้น ไม่ได้หมายความแค่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย รุ่นพี่รุ่นน้อง เหมือนเรียนรู้ รู้จักเปิดโลกให้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่มีครับผม”

พรุ่งนี้อาจเจอ พร้อมยอมรับกับพรหมลิขิตที่จะเข้ามา

“ไม่รู้ครับ ถ้าเกิดสมมติว่าวันพรุ่งนี้ เขาคนนั้นเดินเข้ามาเลย ผมก็ยอมรับกับพรหมลิขิตที่จะเกิดขึ้น เราก็คิดอย่างนี้มาตลอดนะครับ สมมุติว่าวันพรุ่งนี้เขาเข้ามาเราก็ยอมรับได้เลย แต่ว่าเขายังไม่เดินเข้ามา”

“ถ้าเปิดก่อนหน้านี้ก็อาจจะมีแฟนแล้ว (ยิ้ม) แต่ผมรู้สึกว่าทุกอย่างที่ผ่านมา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมา ในชีวิตเรามันเกิดขึ้นเพราะเหตุผลอะไรบางอย่าง แล้วมันเป็นข้อดีที่เราได้ตัดสินใจทำตอนนั้นไปแล้ว อย่างน้อยมันทำให้ผมกลายเป็นคนที่จริงจังเรื่องความรัก มันทำให้ผมกลายเป็นคนที่รอบคอบเรื่องนี้มากๆ ผมเชื่อว่าถ้าเกิดว่าวันนี้มันจะมีใครสักคนเดินเข้ามา ในวันนี้วันพรุ่งนี้เราจะดูแลเขาได้ดีกว่า และเมื่อปีที่แล้ว เราได้มีเวลาคิด เราได้มีเวลาเรียนรู้ เราได้มีเวลาดูเพื่อนของเรา ดูเคสคนโน้นคนนี้เป็นตัวอย่าง เราได้ศึกษามาเพียงพอแล้ว”

ใช้ความรู้สึกนำทาง ใช้หัวใจและสมอง มั่นใจไม่เป็นปมในชีวิต

“ไม่กลัวครับ เพราะว่าผมเป็นคนที่ ไม่ได้บอกตัวเองว่าห้ามรักคนอื่น ห้ามรักใครเลยแล้วเป็นคนที่เชื่อในเรื่องพวกนี้ด้วยครับ แต่อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้รีบ ไม่ได้มีมุมมองเหมือนคนอื่น ไม่ได้คิดว่าจะต้องมีตลอดเวลาหรือจะต้องเหงา เพราะเหงาก็ใช้ชีวิตไปได้ผมคิดอย่างนี้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาพร้อมและผมพร้อม เรามาเจอกันด้วยพรหมลิขิตเราก็ยินดีที่จะรักเค้าแล้วดูแลเขาให้ดีที่สุดครับ”

“ถึงความคิดของผมจะเหมือนคนที่คิดเป็นระบบก็จริง แต่ผมเชื่อว่าเมื่อถึงเวลาแล้ว สิ่งที่บอกได้ดีที่สุดว่าใช่ ไม่ใช่คือความรู้สึกของเรา แต่ก็ไม่ต้องมันนั่งแบบบางคนหนึ่งปี หรือบางเคสบอกว่าต้องให้คนนี้จีบตั้งหนึ่งปีกว่าจะยอมรับเป็นแฟน แต่สำหรับผม ผมคิดว่าถ้าสมมติภายในหนึ่งเดือน สองเดือนหนึ่งอาทิตย์แต่เรารู้ว่ามันใช่แล้ว เราเข้าใจ ผมก็ถือว่าโอเคแล้ว แบบว่าความรู้สึกของผมมันบอกว่าใช่แล้ว”

“ผมเชื่อเซ้นส์ครับ แต่คืออย่างที่บอกไงว่าเชื่อว่าเมื่อมันถึงในเวลาเชื่อ แต่ถ้าเกิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้สมองคิดเราก็ต้องใช้สมองคิดด้วย”

เรื่องแต่งงานจะคิดให้มากที่สุด รักจะไม่มีช่วงโปรโมชั่น

“เรื่องแต่งงานเป็นอีกเรื่องนึงนะครับที่ต้องคิดให้มากขึ้น อย่างที่บอกว่าเริ่มเปิดเผยแล้วก็จริงจังกับความรักเนี่ยไม่ต้องรอเวลาเลยครับ ถ้าใช่ปุ๊บเนี่ยจริงจังเลยครับ ทำให้คนคนนั้นเขารู้ว่าเราจริงจังกับเขา แล้วไม่ต้องเป็นโปรโมชั่นด้วยครับวันแรกเป็นยังไงวันนี้ให้ได้ตั้งแต่วันแรก แล้วถ้าเกิดว่าเขารับได้ตั้งแต่วันแรก วันอื่นก็สบายแล้ว ถ้าเราเป็นตัวของตัวเองตั้งแต่วันแรก ส่วนเรื่องแต่งงานเป็นเรื่องที่จะต้องมานั่งคิดอีกทีนึง ว่าคุณพร้อมที่จะใช้ชีวิตกับคนนี้ไปตลอดชีวิตหรือเปล่า”

เปิดตัวแล้วเลิกก็จะมองเป็นบทเรียน

“อันนี้เราต้องมา เป็นบทเรียนอีกอันนึงแล้วว่าเซ้นส์เราอาจจะไม่ดีพอหนึ่ง สองต้องดูสิว่าเราทำดีที่สุดแล้วหรือยังอย่างที่ผมบอก เด็กๆ เราเลิกกันเพราะว่าเราคิดได้แค่มุมเดียวสมมติว่าคนเราทะเลาะกันเนี่ย เธอนั่นแหละผิด ฉันนั่นแหละผิด แต่ผมคิดว่าตอนนี้เราโตพอที่เราจะมองอะไรในหลายๆ มุมมอง ดูคนอื่นเป็นตัวอย่างแล้วนำมาใช้ได้ ผมพูดได้แต่ผมยังไม่เคยทำผมยังไม่เจอ ก็ต้องไปดูอีกทีครับว่ามันจะเป็นยังไง”

ชอบผู้หญิงเก่ง เป็นตัวของตัวเองสูง

“ชอบผู้หญิงที่เป็นตัวของตัวเอง มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ผมชอบผู้หญิงเก่ง แต่ว่า คือเก่งในที่นี้คุณอาจจะไม่ต้องเก่งทุกเรื่อง เก่งในมุมใดมุมหนึ่งของคุณ คุณอาจจะเก่งในเรื่องของการเขียนหนังสือหรือคุณอาจจะเก่งในเรื่องของการร้องเพลง คุณน่าจะทำกับข้าวไม่ได้เลยก็ได้ครับ ผมชอบคนที่จริงจัง จริงใจกับสิ่งที่ตัวเองมี แล้วก็เป็นคนที่น่ารัก หรือเขาอยากทำให้คนอื่นมีความสุข นั่นแหละคือความน่ารักของเขา”

พร้อมมีความรัก แต่กลัวเผชิญหน้ากับรักที่ไม่ดี

“ผมกลัวความรักที่ไม่ดี แต่ก็พร้อมที่จะมีความรักที่ดีถ้าเกิดสมมุติเขาเข้ามา เราคิดให้รอบคอบประมาณนึงแล้วมาหลายปี แล้วเราก็เชื่อว่าถ้าเราเจอเขาเราก็น่าจะดูแลและก็พร้อมกว่าเมื่อมีตอนมีแฟนคนแรกครับ”