Inside Dara
“โดนัท มนัสนันท์” กับความรัก ที่ยังไร้คำจำกัดความ !!!

โดนัท-มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล เป็นอีกหนึ่งนักแสดง ที่เรียกได้ว่าในช่วงกลางปีที่ผ่านมา สาวคนนี้ตกเป็นข่าวเรื่องความรักกับนักแสดงหนุ่มขวัญใจสาว ๆ “อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม” บนหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ไม่น้อย และแน่นอนว่าทั้งตัวโดนัท และ อนันดา เองก็ถูกถามไถ่ทุกคนครั้งที่ออกสื่อ จนเจ้าตัวเองยอมรับว่า กดดัน เพราะคำถามหลาย ๆ คำตอบ ที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่แน่ใจ และนอกจากความรักแล้ว จริง ๆ เธอคนนี้ยังมีเรื่องงานที่เรียกว่าน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เอาละ...เกริ่นกันมาขนาดนี้ เราคิดว่าทุกคนคงอยากรู้คำตอบจากเธอแล้ว เราไปฟังคำตอบกับเธอกันเลยโดยเฉพาะเรื่องความรัก

“ช่วงนี้มีคนถามเยอะ ในเรื่องส่วนตัวเยอะกว่าปกตินิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อก่อนทำอะไรก็ไม่ค่อยมีใครมาถาม จะซื้อของก็ไม่มีคนมาถาม ทำอะไรไม่มีคนถามถึงเรื่องส่วนตัวเรามากขนาดนี้ ตอนนี้กลายเป็นว่าทุกคนมาจับตาเรื่องนี้ คือ เราทำงานในวงการนี้มานาน ก็พยายามที่จะเอาเรื่องนี้ออกห่างจากเรื่องข่าวให้มากที่สุดเหมือนกัน เพราะว่ามันรบกวนจิตใจ เรื่องที่ดีมันก็ดีแหละ แต่บางเรื่องที่ดีมันก็ทำให้เราเหลิงไปได้ ในขณะที่เรื่องไม่ดีมันก็กวนจิตใจเรา มันบั่นทอนในเรื่องของการทำงาน โดก็พยายามบอกตัวเองเสมอว่า เอาตัวเองออกมาอยู่ห่าง ๆ

คืออย่างที่ทุกคนรู้ก็คือ เรามีช่วงที่อยู่ในวงการมันหลากหลายมากตั้งแต่เป็นนักแสดงหน้าใหม่ แล้วหายไปพักหนึ่ง แล้วกลับมาเล่นละคร คือมันมีอะไรที่เข้ามาในช่วงชีวิตของการเป็นนักแสดงสำหรับโด เยอะมาก ๆ มันทำให้โดได้เห็นช่วงเวลาต่าง ๆ หรือแม้แต่ตอนนี้ มันก็ทำให้เราได้เห็นในอะไรใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ต้องรับมือกับข่าว ซึ่งโดมองว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของเรา

แต่เราอยู่วงการมานาน เราเข้าใจว่านักข่าวก็ต้องทำงานในส่วนของเขา เราก็พยายามตอบในเรื่องที่เราตอบได้ แต่อย่างบางเรื่อง โดมองว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวที่บางทีเราเองไม่อยากไปลงรายละเอียด เพราะว่าเราพูดอะไรไปคนที่อ่านเขาไม่ได้ฟังจากเรา หรือคนที่ทำข่าวเองก็มีการเพิ่มเติมเพื่อให้มันสนุกหรือว่าให้มันน่า

สนใจ มีการพาดหัวที่ทำให้คนสนใจ ซึ่งบางทีเรื่องบางเรื่องมันกลายเป็นบวกหรือลบโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่โดก็เข้าใจและพยายามเอาตัวเองถอยตัวเองออกมา แล้วค่อย ๆ มอง แล้วทำให้เราคิดได้ว่ามันมีวิธีหลายอย่างที่เราเลี่ยงได้ เราก็พยายามเลี่ยงในจุดที่ทำให้เราไม่สบายใจ”

เคยมานั่งคิดไหม ว่าทำไมเราถึงถูกจับตามองเรื่องนี้มากมาย กว่ารักครั้งก่อน ๆ?

“คือเอาจริง ๆ ว่า โดเองและอนันดา ไม่ได้อยากให้ทุกคนมาจับตามอง เพราะตัวเราสองคนเองก็ยังไม่สรุป ว่าเราสองคนคบกันยังไง ว่าเราเป็นแฟนกันหรือไม่ใช่แฟนกัน เราไม่มีคำตอบ แต่เราสองคนมีความเป็นเพื่อนกัน แต่ถามว่าเราสองคนสนิทกันไหม เราก็สนิทกัน แต่โดไม่อยากให้ทุกคนมาจำกัดความว่า มันอยู่ตรงไหนแล้ว เพราะตรงนั้นมันสร้างความกดดันให้เรา คือเข้าใจว่าเราสองคนเป็นคนที่ทุกคนรู้จัก แต่พอถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมาโดบอกเลยว่าโดขอแล้วกัน เพราะโดไม่อยากมาใช้คำอะไรเป็นพิเศษ แต่เอาเป็นว่าเราสองคนเป็นเพื่อนกัน ดูแลกัน และมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน แต่วันข้างหน้ายังไม่รู้

คือเอาจริง ๆ โดกับอนันดา บางวันเราก็ทะเลาะกัน บางวันเราก็ดีกันมาก บางวันเราก็ไม่อยากเห็นหน้า บางวันความสนิทมันก็ไม่ได้เท่ากันทุกวัน เลยไม่อยากให้ใครมากำหนด จำกัด เพราะบางคนชอบมาคาดคั้น อะไรยังไงคบไม่คบ แฟนใช่ไหม มันตอบไม่ได้จริง ๆ เพราะคนเราเปลี่ยนทุกวัน” เขาเรียกว่าคนติสต์กับติสต์มาเจอกันว่างั้น?

“(หัวเราะ) คือเมื่อก่อนโดจะชอบถามตัวเองว่าเราชอบอะไร แล้วเราไม่ชอบอะไร ไม่ชอบวงการ เราไม่ชอบนักข่าว เราไม่อยากตอบ ไม่อยากอยู่เหนื่อย แต่พอสักพักหนึ่ง เรามานั่งใหม่มองหน้าด้านที่ดีของมัน โดว่าทุกวันนี้โดไม่ได้เป็นอาร์ติสต์อะไรเลยนะ ทุกวันนี้โดก็เป็นคนธรรมดามากที่สุด เพราะเมื่อไหร่ที่เราลืมตัวไปว่าเราก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ชีวิตเราจะเปลี่ยนไปอีกแบบ โดชอบเวลาที่ตัวเองธรรมดา ไม่ยึดติดกับชื่อเสียง ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง ว่าอะไรตรงไหน ถ้าเราไม่ยึดติด เราจะสบายตัวมาก”

ดูเหมือนโดนัทจะปลงและเข้าใจวงการมากขึ้นนะ?

“คือวงการบันเทิงประหลาดมาก คำว่าชื่อเสียง มันทำให้คนเหลิง หลงระเริง เราเลยคิดว่าอย่าไปยึดติดอะไรกับมันเลย เพราะคนเรามีขึ้นมีลงและโดเองก็ผ่านเวลาช่วงนั้นมาแล้ว ทุกวันนี้เลยทำตัวธรรมดามากวันไหนรีบก็นั่งมอเตอร์ไซค์ขึ้นรถไฟฟ้าบ้าง แต่ถ้าวันไหนเราลืมตัวปุ๊บ มันจะไม่ดีต่อสุขภาพจิต”

แสดงว่าโดเองก็เคยเหลิงกับวงการนี้มาแล้ว?

“เคยค่ะ บอกตรง ๆ เลยว่าเคย แต่พอเรามีสติคิดได้เราจะกลับมาเป็นตัวเองที่ธรรมดา คืออย่างที่บอกว่าช่วงชีวิตของโดมีขึ้นมีลง และช่วงที่เราลงโดเคยคิดว่า แล้วเราจะเอาไงต่อ เราไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ และถ้าเรายึดติดอยู่มันก็จะยากที่เราจะไปต่อ พอเราคิดได้ว่าเราเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เป็นนักแสดงคนหนึ่งที่เล่นตัวไหนก็ได้ เราจะสบายขึ้นมาก เราจะมีทางเดินต่อได้ อย่างสบายตัว โดเลยคิดว่าโดโชคดีที่ได้เห็นช่วงขึ้นลงของตัวเอง ได้เห็นกับตาเลย ในวันที่มีแต่คนจับตาดูเรา และอีกวันหนึ่งกลายเป็นว่าเขาจับตาคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เรา เราเลยรู้สึกว่ามันแค่นี้เอง แล้วความสุขเราอยู่ตรงไหน เราทำงานอยู่ตรงนี้ โดรักในการเป็นนักแสดง ถึงแม้เราจะบ่นว่าเราเหนื่อย เราหนีไปทำอย่างอื่นแต่สุดท้ายมันก็ยังวนเวียนอยู่ในวงการบันเทิงอยู่ดี เราหามุมอื่น ๆหาความสุข ความสงบให้ตัวเอง”

ช่วงหลังดูจะมาจับเบื้องหลังมากขึ้น?

“ค่ะ เมื่อก่อนพยายามที่จะไม่บอกใครว่าตัวเองทำงานเบื้องหลังอะไรบ้าง แต่ตอนนี้พยายามบอกเดี๋ยวเขาหาว่าเราติสต์เซอร์ ไม่อยากบอกใคร แต่ตอนนี้อยากจะบอกว่าเราทำเบื้องหลังได้ อยากให้จ้าง แต่ก็ยังไม่มีใครจ้าง งานเบื้องหลังที่ทำส่วนใหญ่จะเกิดจากโปรเจคท์ของตัวเอง โดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งที่เรายังไม่ทำเบื้องหลังอย่างจริงจัง เพราะหนึ่งคนไม่รู้ว่าประสบการณ์เราเป็นยังไง คนไม่รู้ว่าเราทำได้จริงหรือเปล่า เราทำจริงจังขนาดไหน โดก็ถามคำถามนั้นกับตัวเองเหมือนกัน และพอได้คำตอบโดก็บินไปเรียนคอร์สสั้น ๆ ไปเรียนฟิล์มที่นิวยอร์ก พอไปเรียนปุ๊บโดรู้เลยว่า สิ่งที่เรารู้มาก่อนหน้านี้ เรารู้น้อยมาก หรือบางเรื่องที่เรารู้แล้ว พอเราเรียนมาเราก็มาจัดการให้มันเป็นระบบระเบียบได้ และพอกลับมาเราบอกตัวเองเลยว่า เราต้องพิสูจน์ตัวเองก่อน

อย่างเรื่องหนังสือที่ตัวเขียนเหมือนกันอย่างเรื่องล่าสุดที่ชื่อภาษาไทยว่า“จากทั่วทุกมุมโลก” โดก็ต้องเจอกับคำถามว่า โดเขียนเองหรือเปล่า แต่โชคดีที่โดทำเป็นหูดับ แต่โดเชื่อว่าในเรื่องของการเขียน เรามีสไตส์ของเรา เรามีสำนวนของเรา คือจริง ๆ เราก็ทำงานเขียนหนังสือมาพักหนึ่งเลย แต่ไม่มีใครรู้ แล้วพอมาเจอคนตั้งคำถาม เลยบอกตัวเองว่าไม่เป็นไรให้เวลาพิสูจน์

แต่สิ่งหนึ่งที่ได้จากหนังสือของเรา คือเวลาที่คนซื้อหนังสือของเราไปอ่านแล้วมีเสียงตอบรับกลับมา บอกว่าชอบหนังสือของเรามันก็ทำให้เรามีความสุขนะเพราะงานหนังสือมันเป็นตัวเองเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์นะ มันเป็นความคิดของเรา เป็นมุมมองของเรา ขนาดวางหน้า จัดเรียงหน้าเราก็ขอเข้าไปมีส่วนร่วม (หัวเราะ) โดมีความสุขกับงานหนังสือมาก อย่างตอนงานสัปดาห์หนังสือ

วันเปิดตัวมีคนมารอขอลายเซ็นเยอะมาก แต่ 10 นาทีหมด แต่พอโดมองไปโต๊ะข้าง ๆ บูธข้าง ๆ เป็นพี่นักเขียนอีกคนหนึ่ง แถวรอลายเซ็นยาวมากเป็นชั่วโมง ๆ เห็นแล้วรู้สึกว่าดีมาก คือของเรามันแค่ 10 นาทีหมด ก็บอกตัวเองว่าไม่เป็นไรโดนัท ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา แต่มันก็มีความสุขเพราะเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก แล้วตอนแจกลายเซ็น มีน้องคนหนึ่งบอกว่า หนูอ่านเรื่องของพี่มาจากเพื่อน หนูเลยมาซื้อหนังสือพี่อีก เพราะว่าหนูอ่านแล้วหนูได้แรงบันดาลใจ และคิดว่าจะได้เจอพี่ คือหน้าเขาดีใจมาก เราเห็นแล้วเรารู้สึกว่านี่คือส่วนหนึ่งที่เป็นกำลังใจให้โดจริง ๆ”

ที่ผ่านมาดูเหมือนจะหาตัวเองเจอแล้ว ว่าตรงไหนใช่ที่สุด โดยเฉพาะเรื่องหนัง แล้วแรงบันดาลใจในการทำหนังมาจากไหน เพราะโดเองก็เล่นหนังมาแค่เรื่องเดียวตั้งแต่เข้าวงการ?

“อืม...เรื่องนี้ก็มีคนถาม จริง ๆ โดเล่นหนังมาเรื่องเดียวคือ “พันธ์ุร็อกหน้าย่น” แต่ตอนเด็ก ๆ โดไปดูหนังกับพ่อบ่อยมาก หนังบางเรื่องที่เราเคยดูตอนเด็ก ๆ ถึงวันนี้เราจำได้ และตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็ถามตัวเองเหมือนกันว่า เราไม่ควรเรียนละครเวที หรือว่าเราควรจะเรียนฟิล์ม ตอนนั้นก็จะลาออกมาเรียนฟิล์มแต่อาจารย์บอกว่าอย่าออก เพราะไม่ว่าจะศาสตร์ไหนใช้พื้นฐานเหมือนกัน ก็เรียนละครเวทีไป

แต่ช่วงนั้นก็แอบมีไปทำหนังสั้น พยายามทำคู่กันไปด้วย ผิด ๆ ถูก ๆไปเรื่อย ๆ คือมันเป็นของแบบนี้มาเรื่อย ถามว่าโดเก่งฟิล์มหรือยัง ยังนะ แต่โดชอบ เพราะหนังบางเรื่องมันให้แรงบันดาลใจคน ให้ประสบการณ์กับคน โดเลยรู้สึกว่ามันพิเศษมาก อย่างเวลาที่เราเหนื่อย ท้อ เราก็พยายามหาหนังมาดูสร้างกำลังใจ สร้างแรงบันดาลใจ

มันคือมุมมองเดียวกันกับที่เรามองหนังสือของเราเอง เลยอยากจะทำหนังเพื่อให้เป็นแรงบันดาลใจคนอื่นด้วย วันนี้เลยพยายามที่จะทำให้มันออกมาดีที่สุด คือยอมรับว่า สิ่งที่เราชอบ กับสิ่งที่เราเรียนมันมากันคนละทาง และพอมาทำงานเราก็อยู่กันคนละสาย เรามาทางสายละครมาก ๆ แต่ทำไงได้เราชอบหนัง เลยหาจุดยืนที่มันพอดี ๆ อยู่ และหาความรู้เพิ่มเติมเมื่อมีเวลาที่เราจะไปเรียนได้”

ก็ขอเป็นกำลังใจให้นักแสดงสาวคนนี้สร้างงานได้อย่างที่ใจฝัน ส่วนเรื่องความรัก ก็ขอให้ได้คำจำกัดความกับตัวเองเร็ว ๆ นะจ๊ะ