Inside Dara
‘จันจิ’หวังคนรู้จักผลงาน ไม่คิดเกาะกระแส‘มาริโอ้’ดัง

น่าจับตามองไม่น้อยทีเดียว สำหรับสาวลูกครึ่งจีน-ฟิลิปปินส์ จันจิ-จันจิรา จันทร์พิทักษ์ชัย หรือ “จันจิ วงไกอา” ศิลปินจากสังกัด “ดูเอดอทอาร์ทเมคเกอร์” ที่นอกจากเส้นทางในวงการบันเทิงของเธอที่เริ่มต้นจากแดนเซอร์ จนมาเป็นศิลปิน และกำลังจะก้าวไปเป็นนางเอกละครแล้ว เรื่องของความสัมพันธ์ในฐานะคนพิเศษของพระเอกขวัญใจสาว ๆ อย่าง หนุ่ม มาริโอ้ เมาเร่อ ก็เป็นเรื่องที่หลายคนสนใจไม่แพ้กัน ดาวต่างมุมวันนี้เลยต้องขอนัดสาวจันจิมานั่งพูดคุยถึงกระแสข่าวต่าง ๆ และให้ทุกคนได้รู้จักเธอไปพร้อม ๆ กัน

ก่อนอื่นถามถึงผลงานละคร ตอนนี้เป็นนางเอกแล้ว?

“จันจิกำลังถ่ายทำละครเรื่อง “หน้ากากนางเอก” ที่พี่ ต่าย-นัฐฐพนธ์ เป็นผู้จัดค่ะ ในเรื่องจะมีนางเอก 3 คน คือ จันจิ, มารี เบอร์เนอร์ แล้วก็ บุศ-บุศย์สิริ ในเรื่องนี้จันจิรับบทเป็น “เขม” มีอาชีพเป็นนักแสดง ตัวละครนี้ค่อนข้างจะเรียบร้อยมาก เป็นสาวหวาน ไม่เหมือนกับจันจิเลย (หัวเราะ) แล้วต้องเล่นเป็นสองบทบาทด้วย แต่พี่ต่ายบอกว่าคาแรกเตอร์แบบนี้จันจิน่าจะเล่นได้ ตอนนี้ก็เริ่มถ่ายไปหลายคิวเหมือนกันค่ะ จะเป็นยังไงก็อยากให้รอติดตาม เพราะเป็นละครเรื่องแรกของจันจิ เราก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แต่จันจิเคยเล่นซิทคอมมาแล้ว ก็ไม่ค่อยตื่นกล้องสักเท่าไหร่ แต่จะกังวลว่าจะเล่นในแบบละครยังไง เพราะว่าซิทคอมจะเป็นแนวตลก ๆ แต่ละครจะจริงกว่า เราเลยกังวลว่าจะเล่นได้หรือเปล่า”

แบบนี้ต้องไปเรียนการแสดงเพิ่มไหม?

“ก่อนหน้านี้จันจิได้ไปเรียนการแสดงกับครูเงาะ-รสสุคนธ์ แล้วเคยเรียนกับแอ๊คติ้งโค้ชที่เคยสอนตอนเล่นซิทคอม ตอนนี้ก็ยังจะปรึกษาพี่เขาทางไลน์อยู่ค่ะ”

นอกจากละครเรื่องนี้มีผลงานอะไรอีกบ้าง?

“ตอนนี้มีเรื่องเดียวก่อนค่ะ เพราะคนยังไม่เคยเห็นผลงานการแสดงเราเลย จริง ๆ ก็มีติดต่อมาอีก แต่ว่ายังไม่ได้คอนเฟิร์มค่ะ ซึ่งทางเวิร์คพอยท์อนุญาตให้เราไปทำงานที่อื่นได้ สามารถพูดคุยได้ ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องทำงานกับค่ายเท่านั้นค่ะ”

แล้วผลงานเพลงล่ะ?

“อยู่ในขั้นตอนการทำซิงเกิ้ลค่ะ เพราะแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง เล่นละคร หรือเล่นซิทคอม เลยจะหาเวลามาทำเพลงกันค่อนข้างจะยาก ต้องนัดกันเนิ่น ๆ หาเวลามาคุยกัน เลยยังไม่ลงตัวสักที แต่เวลาเจอกันทีหนึ่งก็จะตื่นเต้น ไม่ได้เจอกันนาน จะพูดเยอะมาก แต่เราก็จะมีกรุ๊ปไลน์อัพเดทงานกันตลอด ว่าเป็นยังไงบ้าง งานเพลงไปถึงไหนแล้ว นอกจากนี้ก็มีซิงเกิ้ลพิเศษ เป็นเพลงประกอบซิทคอม “ระเบิดเถิดเทิง” ที่จันจิเล่นด้วย เพิ่งปล่อยออกไป เพลงนี้ก็ร้องทั้งวง ถ้าจันจิร้องคนเดียวจะไม่ค่อยรอดเท่าไหร่ ร้องไม่กี่คำก็โอเคแล้ว (หัวเราะ)”

ชีวิตจันจิก็ดูเป็นสเต็ปนะ จากแดนเซอร์ มาเป็นนักร้อง จากนักร้องมาเป็นนักแสดง?

“จันจิว่าเป็นเรื่องของการที่ผู้ใหญ่ให้โอกาสมากกว่า ผู้ใหญ่เห็นว่าเราร้องเพลงได้ก็ให้มาลองร้องดู อย่างเล่นละครก็ให้มาลองเล่นดู จริง ๆ จันจิเองไม่เคยคิดว่าเราจะได้เป็นนักร้องหรือนักแสดงมาก่อน ตอนเด็ก ๆ เราก็ฝัน แต่ไม่คิดว่าเราจะได้ทำ แล้วเราก็ฝันหลายอย่างมาก อยากเป็นสัตวแพทย์ เพราะเป็นคนรักสัตว์ แต่โตขึ้นมาก็รู้ว่าสมองมันไม่ได้ (หัวเราะ) แล้วก็มีอยากเป็นเชฟทําอาหารด้วย แต่พอโตขึ้นความคิดก็เปลี่ยนไป เพราะเรามาสายเต้น ตอนแรกก็เต้นเพื่อความสนุก แต่ก็กลายเป็นอาชีพตั้งแต่สมัยเรียนไปเลย จันจิเคยฝันอยากจะเป็นโคโรกราฟ เป็นคนออกแบบท่าเต้น อยากไปเรียนเมืองนอก แต่ 5 ปีที่ผ่านมา เราทำงานหนักมาก ก็เลยไม่ได้ไปทางนั้น เราคงอิ่มตัวแล้วด้วย เพราะเรื่องการเต้นในเมืองไทยมันไม่บูม ถ้าเราไม่ได้ไปเรียนที่เมืองนอกเราจะไม่มีทางเกิดขึ้นมาได้เลย”

ทำงานมาตั้งแต่เด็กเหมือนกันนะ?

“ทำงานมาตั้งแต่ ม.4 เลยค่ะ จันจิเคยเป็นดีเจมาก่อนด้วย ที่คลื่นแมกซ์ ของอาร์เอส ตอนนั้นไปเป็นคนฟังหน้าม้า แล้วเขาก็บอกให้ลองมาทำดู ทั้ง ๆ ที่จันจิพูดไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ (หัวเราะ) แต่ก็เป็นมาได้ 2 ปีเลยนะคะ ทำให้ทักษะการพูดเราพัฒนาขึ้น เรื่องนี้เป็นอะไรที่คนไม่ค่อยรู้ คือจันจิเป็นคนชอบลอง ไม่ใช่ว่าเราเก่งนะ แต่เราอยากรู้ว่าเราทำได้หรือเปล่า เลยอยากจะทำโน่นทำนี่ นอกจากงานในวงการตอนนี้จันจิก็ทำธุรกิจว่ายน้ำกับเพื่อน เพราะเพื่อนจันจิชอบแฟชั่น แล้วก็เก่งเรื่องการตลาด เราก็อยากจะลองทำดู อยากได้ค่าขนมในพาร์ทที่ไม่ใช่งานประจำดูบ้าง ตอนนี้ก็ใกล้เสร็จแล้วค่ะ เหลือถ่ายโฟโต้บุ๊กออกมาให้ได้เห็นกัน”

ตอนนี้เรียนจบแล้วด้วย?

“ใช่ค่ะ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเรียนต่อ แต่ตอนนี้เรื่องคิวต่าง ๆยังไม่ลงตัว เลยยังไม่กล้าลงเรียน เพราะกลัวว่าจะเป็นแบบครั้งที่แล้วที่เราทุ่มเวลาไปที่งาน แล้วเรื่องเรียนเราทำได้แค่พยุงไม่ให้ตก ซึ่งถ้ามีโอกาสเรียนต่อ จันจิก็อยากจะเรียนให้ได้ความรู้จริง ๆ เพราะว่าเสียดายตังค์ด้วย ส่วนคณะที่จันจิอยากเรียนต่อคงเกี่ยวกับการตลาด เพราะที่บ้านจันจิทำธุรกิจจิวเวลรี่ มาทางสายศิลปะ ไม่ได้มาทางวิชาการเลย ออกแบบโดยใช้ประสบการณ์ล้วน ๆ ไม่ค่อยมีทฤษฎี เลยคิดว่าเรียนไปทางนั้นน่าจะดีกว่า เพราะเรื่องของการออกแบบพี่สาวของจันจิเก่งมากอยู่แล้ว แต่จะขาดเรื่องการตลาด เราก็อยากจะเอาความรู้กลับไปช่วยที่บ้าน อยากจะทำตัวมีประโยชน์ เพราะตอนนี้จันจิก็ช่วยได้แค่ประชาสัมพันธ์ คืองานในวงการทุกวันนี้จันจิไม่ได้คิดว่าเราจะอยู่นาน ถ้ามันไม่มั่นคงเราก็จะกลับไปช่วยธุรกิจที่บ้าน เรามองงานที่บ้านเป็นหลักมากกว่า ส่วนงานในวงการบันเทิงถ้าทำได้ดี เราก็ต่อยอดไปเรื่อย ๆ ถ้าไปต่อไม่ได้เราก็เข้าใจ”

วันรับปริญญาเห็นคุณแม่บินมาแสดงความยินดีด้วย?

“คุณแม่กับน้องสาวบินมาแสดงความยินดีจากฟิลิปปินส์ค่ะ คือคุณแม่จันจิเป็นคนฟิลิปปินส์ จันจิไม่ได้อยู่กับคุณแม่ตั้งแต่ ป.3 แล้ว จันจิอยู่เมืองไทยกับพี่สาวแล้วก็คุณพ่อ เลยจะถูกคุณพ่อเลี้ยงดูมาแบบแมน ๆ ให้ช่วยเหลือตัวเองได้ ส่วนคุณแม่จันจิเป็นคนเรียบร้อย อ่อนหวาน แต่จันจิไม่มีตรงนั้นเลย”

ถามถึงความรักกับมาริโอ้บ้าง?

“อย่าถามเลยค่ะ อย่าพูดในเรื่องความรักดีกว่า ความสัมพันธ์ของเราอย่างที่เคยบอกว่าเราก็เป็นพี่น้องคุยกัน ศึกษาไปเรื่อย ๆ ไม่ได้อะไรมาก อยู่เงียบๆแฮปปี้กว่า เพราะเราก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ในอนาคตจะเป็นอย่างไร ถ้ามันโอเค ก็โอเค ถ้าไม่โอเค เราก็อยู่ในสถานะพี่น้องที่ดีต่อไป”

ทุกวันนี้เจอกันบ่อยไหม?

“ไม่ค่อยเจอกันค่ะ แต่ก็มีปรึกษากัน เรื่องงานก็ต้องปรึกษาพี่เขาอยู่แล้ว เพราะว่าพี่เขาเป็นนักแสดงมาก่อน แล้วก็แสดงเก่งมากเลย เขาก็แนะนำอย่างบางทีเราคิดไม่ออกว่าสถานการณ์นี้เราต้องทำยังไง เขาก็จะสมมุติเหตุการณ์มาให้เหมือนครูที่สอนเรา เราก็มีแซว เออ...พี่ไปเป็นครูไหม เก่งเนอะ (หัวเราะ)”

มุมมองความรักของจันจิ เป็นอย่างไร?

“จันจิว่าความรักเป็นเรื่องของการให้ เสียสละ การเข้ากันได้ อยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ เพื่อน พี่น้อง คนรัก คือเราไม่จำเป็นต้องอยู่ติดกันตลอดเวลา แค่ทำอะไรดี ๆ ให้กัน ให้อีกฝ่ายหนึ่งดีขึ้นแค่นั้นก็พอแล้ว นี่คือความรักในมุมมองของจันจิ”

กระแสข่าวต่าง ๆ ทำให้ไม่อยากพูดเรื่องความรักหรือเปล่า?

“ไม่ใช่ไม่อยากพูด แต่กระแสโจมตีเราหลายอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้พูดอะไรมากมาย จันจิเลยอยากอยู่เฉย ๆเงียบ ๆ ไม่ได้อยากให้ใครมาสนใจเรา เพราะคนจะเอาไปคิดต่อเองว่าเราเป็นคนแบบนั้นแบบนี้ ชอบพูดว่าเราพยายามเกาะกระแส ทั้ง ๆ ที่เราไม่รู้ว่าการเกาะกระแสเขาทำยังไง บางอย่างที่เราทำ อย่างการใส่ชุดว่ายน้ำ การถ่ายรูปต่าง ๆ คือเราก็แค่ไปเที่ยว แต่กลายเป็นว่าคนมองว่าเราอยากดัง อยากสร้างกระแส ตรงนี้เป็นสิ่งที่เราไม่ได้คิดมาก่อน เราไม่รู้ว่ามันสามารถเป็นกระแสได้ด้วยซ้ำ คือบางคนอาจจะบอกว่ากระแสต่าง ๆ ก็มีส่วนช่วยทำให้คนรู้จักมากขึ้น แต่มันไม่ได้ทำให้คนรู้จักเราในทางที่ดีเลย”

เวลาคนบอกว่ารู้จักเราจากข่าวมากกว่าผลงานรู้สึกยังไง?

“ก็รู้สึกเฟลนิดหนึ่ง เพราะเราอยู่วงไกอา ก็อยากให้รู้จักทั้ง 5 คนในวง เราไม่ได้อยากจะโผล่ขึ้นมาคนเดียว แต่ด้วยความที่มันเป็นข่าว คนก็มองว่าเราพยายามจะทำอะไรหรือเปล่า ด้วยความที่จันจิเคยเป็นแดนเซอร์มาก่อน แล้วก็ค่อย ๆ ไต่ขึ้นมา คือถ้ามองภายนอกมันเหมือนจันจิพยายามจะทำอะไรสักอย่าง แต่ตรงนี้คือโอกาสที่เราได้มาตลอด จันจิก็เข้าใจว่าพี่เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงมาก ไม่แปลกหรอกที่คนจะมองว่าจันจิเกาะพี่เขาดัง เราปล่อยตรงนั้นผ่านไปดีกว่า ตั้งใจทำงานของเราไป สำหรับจันจิอยากให้คนรู้จักเราจากผลงานมากกว่า ถึงจะเห็นแวบ ๆ ก็ยังดีกว่ามีคนมาบอกว่ามีข่าวแล้วคนรู้จักเยอะขึ้น”

มีเพจแอนตี้จันจิด้วย?

“เราก็งงว่าเขาไปเอาข้อมูลมาจากไหน คิดไปเองหรือเปล่า เราก็คิดว่าปล่อยเขาไป เพราะบางอย่างไม่น่าจะเป็นประเด็นได้ จันจิก็คิดว่าทำไปเถอะถ้าเขามีเวลาว่างที่จะมาส่องเรา แล้วทำให้มันเป็นข่าวก็ไม่เป็นไร มันไม่มีผลต่อจันจิอยู่แล้ว อาจจะนอยด์แวบนึง แต่ก็ช่างมันเหอะ เพราะเขาเป็นใครก็ไม่รู้ เขาอาจจะไม่ชอบเราอยู่แล้วก็ได้ ให้ทำยังไงเขาก็ไม่ชอบ เราก็ต้องปล่อย ๆ ไป”

กับเรื่องนี้มาริโอ้มีให้กำลังใจบ้างไหม?

“พี่เขาจะบอกว่าอย่าไปคิดมาก มันก็เป็นข่าว แต่คือหลังจากเป็นข่าวก็ต้องมีคอมเมนต์มาด้วยไง บางทีเราก็ชอบไปอ่านอยากรู้ว่าคนพูดถึงเรายังไง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นด้านลบ เพราะเรามาจากไหนไม่รู้ เกิร์ลกรุ๊ปเราไม่ได้เป็นที่รู้จักในหมู่ของผู้ใหญ่หรือคนทั่วไป คนที่จะรู้จักเราจะเป็นเด็ก ๆ ชอบฟังเพลงแนวเกาหลี ชอบเต้น ซึ่งเราก็เข้าใจอยู่ อีกอย่างด้วยหน้าตาเรามองครั้งแรกก็อาจจะดูไม่เป็นมิตร มองครั้งแรกคนจะคิดว่าเราต้องร้าย ต้องหยิ่ง นิสัยไม่ดีแน่ ๆ คนอาจจะตัดสินเราตั้งแต่มองครั้งแรก แล้วพอเรามาเป็นคนของสาธารณะมากขึ้นมันก็กลายเป็นว่าใครจะพูดอะไรก็ได้”

สุดท้ายฝากอะไรถึงแฟน ๆ หน่อย?

“จันจิอยากขอบคุณที่ผ่านเข้ามาให้กำลังใจกัน มันอาจจะเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็ทำให้เรามีแรงฮึดสู้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นแค่คน ๆ เดียวที่เข้ามาให้กำลังใจจันจิ เราก็แฮปปี้แล้ว ไม่ได้คิดว่าแค่คนเดียวเอง แต่เราคิดว่าแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องมีเยอะก็ได้”.