Inside Dara
ชีวิตคือการเดินทาง ‘ออม’ ตามหาฝันในต่างแดน

ในบรรดานักแสดงไทยที่ไปมีชื่อเสียงในต่างประเทศคนแรก ๆ ที่จะต้องนึกถึงนั้น แน่นอนว่าต้องมีชื่อของสาวร่างเล็ก ออม-สุชาร์ มานะยิ่ง ติดโผอยู่ด้วยแน่นอน โดยเฉพาะในประเทศจีน ออมถือเป็นหนึ่งในนักแสดงไทยที่มีอิทธิพลต่อแฟนคลับชาวจีนมากคนหนึ่ง แต่ในประเทศไทยชื่อเสียงของออมกลับกระจุกอยู่เฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเท่านั้น ไม่ฟู่ฟ่าเหมือนในต่างประเทศ วันนี้ ออมเลยมา เพื่อตอบคำถามในหลายประเด็น พร้อม บอกเล่าถึงผลงานใหม่ที่กำลังจะมีขึ้น นั่นคือละคร “รักนี้ชั่วนิจนิรันดร์” ออกอากาศทางทรูวิชั่นส์ ช่องทรู เอเชี่ยน ซีรีส์ ในวันที่ 22 พ.ค. นี้

ช่วงนี้งานกำลังเยอะและไปได้ด้วยดีหรือเปล่า?

ถือว่า 2-3 ปีหลังมานี้มีงานเข้ามา เรื่อย ๆ เลยค่ะ ทั้งงานในประเทศและต่างประเทศ งานในต่างประเทศส่วนมากเป็นงานอีเวนต์ โชว์ตัว เจอแฟนคลับค่ะ ก็มีที่ประเทศจีน ไต้หวัน ฮ่องกง และจะมีไปมาเลเซียด้วยค่ะ

ดูเหมือนว่าออมจะดังในต่างประเทศมากกว่าในประเทศนะ?

ก็รู้สึกดีค่ะ ในเมืองไทยมีคนที่รู้จักเราบ้าง ชื่นชอบผลงานของเราไม่ว่าจะเป็นหนังหรือละคร อย่างที่เพิ่งจบไปเรื่อง “พรพรหมอลเวง ก็มีฟีดแบ็กที่ดี แต่ถ้าเทียบกับต่างประเทศ ดูเหมือนที่โน่นเราจะหวือหวา กว่านิดนึง เวลาที่เราไปไหนบางครั้งก็ต้องมีการ์ดคอยคุมบ้าง เพราะ แฟนคลับจะค่อนข้างเยอะ เดินลำบากนิดนึง (หัวเราะ) แต่ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตลำบากนะคะ ออมเป็นคนสนุกที่จะปรับตัวเวลาไปที่ไหนหรือเจอเหตุการณ์อะไร มันเป็นผลพลอยได้มาจากสิ่งที่เราทำ หน้าที่หลักของเราคือเล่นละคร เป็นตัวละครที่สร้างความสุขให้แก่คนดู สิ่งที่มันได้กลับมามันเหมือนเป็นกำไรของเราค่ะ

ได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการไปทำงานต่างประเทศ?

ได้เรียนรู้ความเป็นมืออาชีพค่ะ บางครั้งอยู่ที่เมืองไทยเราคิดว่าเรายังเป็นเด็ก แต่พอต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ เราต้องเรียนรู้ที่จะไปในฐานะของนักแสดงที่มาจากตัวแทนประเทศไทย คือไม่ใช่แค่ออม-สุชาร์ แต่มันคือนักแสดงคนไทย เราต้องเรียนรู้ความเป็นมืออาชีพ ต้องโตและมีความอดทนมากขึ้น เพราะมันคือภาพลักษณ์ของนักแสดงไทย เราเลยต้องคิดเยอะหน่อยก่อนที่จะเดินทาง อย่างเช่นการพูดที่มันจะเกิดการ ขัดแย้งในเรื่องของชาติ ออมก็จะไม่พูด ไปจีนจะเลี่ยงไต้หวัน ไปไต้หวันก็จะเลี่ยงจีน ก่อนหน้านี้ที่ไปจีน เราก็ต้องเลี่ยงญี่ปุ่น หรือถ้าเราไปออกรายการโทรทัศน์ที่โน่น เราก็ต้องไปฝึกรำบ้าง ฝึกนวดบ้าง แล้วก็ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับเมืองไทยด้วย เช่น อาหารไทย สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองไทย เราจะได้ตอบคำถามได้ค่ะ

ด้วยวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เคยเกิดปัญหาบ้างไหม?

สไตล์ในการทำงานของคนไทยกับคนจีนจะไม่เหมือนกัน ทั้งวิธีการพูด การสื่อสาร หรือระบบ ทุกอย่างที่เราเคยชินที่นี่ ที่จีนมันก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เช่น เขาจะพูดเสียงดัง กระโชกโฮกฮาก เราก็ต้องเข้าใจและไม่มีอารมณ์ คือถ้าเรามีอารมณ์ปุ๊บ เราจบเลย แต่ช่วงแรก ๆ ก็มีบ้างนะ ออมอาจควบคุมอารมณ์ไม่ดีเอง ประมาณว่าทำไมพูดแบบนี้ล่ะ ให้เกียรติเราบ้างมั้ย แต่หลัง ๆ ก็เริ่มเข้าใจ

แฟน ๆ ที่โน่นรู้จักออมจากผลงานอะไร?

เริ่มแรกเลยเขารู้จักจากหนังเรื่อง “เยส ออร์ โน” ตั้งแต่ภาค 1 ประมาณ 3-4 ปีมาแล้วค่ะ เราได้เดินทางตลอด แล้วก็มีภาค 2 จริง ๆ แล้วหนังไม่ได้ถูกฉายนะ แต่มันเป็นหนังที่อยู่ในกระแส แม้ว่าคนจีนไม่ค่อยดูหนังในโรงสักเท่าไร แต่เขาจะดูในเว็บหรือดาวน์โหลดเอา เรียกว่าเป็นหนังอินดี้ใต้ดินที่ดังในลักษณะเดียวกับ “รักแห่งสยาม” เมื่อ 5 ปีก่อน แล้วพอคนเริ่มชอบเราขึ้นมา เขาก็ไปหาผลงานอื่น ๆ ของเรามาดู มีไปขุดรายการ “สตรอเบอรี่ชีสเค้ก” ที่ออมเคยเป็นพิธีกรมาดู มาใส่ซับ ไตเติ้ลจีน เขามีทีมที่ช่วยกันทำซับ ไตเติ้ลเลยนะ คอยติดตามทำซับไตเติ้ลละคร “จุดนัดภพ” กับ “พรพรหมอลเวง” และผลงานต่าง ๆ เขาจะคอยอัพเดทผลงานของเราตลอด บางคนยังบินตามมาเมืองไทยเลย ออมก็นัดพวกเขาไปเจอที่สนามบิน ไม่อยากให้ไปที่กองถ่าย เพราะเกรงใจกองละคร ก็รู้สึกภูมิใจนะ ที่ได้ทำให้เขาได้รู้จักสื่อบันเทิงของบ้านเรา ออมคาดหวังแค่ในประเทศ ไม่ได้คิดไกลไปขนาดนั้น นอกจากหนังที่เราเล่น เขาก็ได้ดูผลงานประเภทอื่นไปด้วย ได้เห็นศักยภาพของวงการบันเทิงไทยค่ะ ออมต้องเรียนภาษาจีนด้วยค่ะ ตอนนี้ออมมีสังกัดที่เมืองจีน เป็นค่ายหนังที่เซ็นสัญญาไว้ เขามีแพลนให้เราเรียนภาษาจีนด้วย อาจจะมีทำอัลบั้มให้แล้วไปโปรโมตที่โน่น ค่ายนี้เขาจะบุกเบิกศิลปินไทยให้ไปอยู่สังกัดเขาแล้วจะคอยป้อนงานให้ ดาราไทยก็มี มาริโอ้ มี เคน-ภูภูมิ ค่ะ

ดูเหมือนชีวิตต้องเดินทางตลอดเวลา มีเหนื่อยบ้างไหม?

มีบ้างนะคะ บางทีเรารู้สึกว่าเราเด็กเกินไปที่จะเดินทางไปในหลาย ๆ ที่ รู้สึกว่ามันใหญ่เกินตัวนะ อย่างตอนคิดถึงบ้านหรือเจออุปสรรคอะไรที่คิดว่ามันใหญ่ แต่มันก็ทำให้เราได้ เรียนรู้ ออมเป็นคนที่ทำอะไรแล้วตั้งใจ พยายามทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ตอนเดินทางไปต่างประเทศมีคนดูแลค่ะ แต่ช่วงแรก ๆ ลำบากมาก เพราะเรายังไม่มีสังกัด พอช่วงหลังเราได้รับการสนับสนุนจาก ททท. ไปไหนผู้ใหญ่รับรู้ ก็เลยสบายขึ้น ไปถึงก็มีผู้ใหญ่ทางโน้นมาคอยรับส่งดูแลเรา คือเห็นภาพแล้วนึกสงสัยว่ามีคนอยู่รอบตัวเราขนาดนี้เลยเหรอ แล้วก็มีคนใส่ชุดสูทประมาณ 10 กว่าคน ใส่แว่นดำเหมือนในหนังเลย แต่ในความรู้สึกส่วนตัวออมไม่ได้ต้องการให้ปฏิบัติต่อเราขนาดนั้นหรอกค่ะ พยายามทำตัวให้เป็นปกติ อยากให้เขาสัมผัสเราได้มากกว่า เพราะเราไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์อะไร

อยากให้แฟน ๆ ที่เมืองไทยคลั่งไคล้เราเหมือนแฟนเมืองจีนหรือเปล่า?

ไม่ได้อยากขนาดนั้นเลยค่ะ อยากแค่ให้แฟนคลับอยู่กับเราแล้วมีความสุขจากสิ่งที่เราให้หรือสิ่งที่เราได้รับจากพวกเขา ถ้าอยู่เมืองไทยแล้วมีการ์ดคุ้มกัน ออมว่ามันไม่ใช่แล้ว เพราะมันยากในการมีชีวิตส่วนตัวหรือจะทำอะไรแบบคนปกติ แต่เราก็ต้องระมัดระวังตัวเองด้วยเพราะเราเป็นตัวอย่างของเยาวชนเหมือนกัน บางคนอาจจะชอบพี่ออมจังเลย ซึ่งถ้าเราทำอะไรที่ไม่ดีออกไป เขาอาจจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างได้ ตัวตนจริง ๆ ออมเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ มีความเป็นธรรมชาติสูง ไม่ค่อยแต่งตัวจัดหรือแฟชั่นจ๋า แต่ก็ไม่ได้กำหนดตัวเองว่าเป็นสไตล์ไหน แล้วก็อยากทำให้คนรอบข้างมีความสุขค่ะ

วางอนาคตในวงการบันเทิงไว้อย่างไร?

เป็นสิ่งที่ออมคิดมาตลอดทุกปี เป็นสเต็ปว่าปีนี้อยากให้ชีวิตเป็นแบบไหน พอผ่านไป 1 ปี ก็จะมานั่งทบทวนถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นและดูว่าสเต็ปข้างหน้าจะเป็นยังไง สำหรับปีนี้ออมมองว่ามีงานเข้ามาเรื่อย ๆ แต่กำลังมองว่าจะทำยังไงจึงจะได้งานที่มีคุณภาพในทุก ๆ งานที่เราได้ทำ และมองว่าวันหนึ่งถ้าเราเก่งขึ้นและมีศักยภาพพอ เราอาจจะไปต่อยอดที่ต่างประเทศได้แบบแข็งแรง ไม่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่ใช่แบบว่าไปที่โน่นแล้วคนไทยจะลืมเราหรือเปล่านะ (หัวเราะ)

แบบนี้เรียกว่าโกอินเตอร์ได้ไหม?

ก็ก้ำกึ่งค่ะ เพราะว่างานที่ไปที่โน่นเป็นงานของคนไทยที่ไปมีชื่อเสียง เรายังไม่ได้ไปร่วมงานของเขาอย่างจริง ๆ จัง ๆ ไม่แน่ปีหน้าอาจจะมีงานที่ร่วมทำกับต่างประเทศ ตอนนั้นอาจจะเรียกว่าโกอินเตอร์แล้วก็ได้ (หัวเราะ)

มีหลักในการเลือกงานอย่างไร?

ออมในฐานะของนักแสดงอิสระ ไม่ได้มีสังกัด อายุก็ประมาณหนึ่งจัดได้ว่าเป็นนักแสดงรุ่นเด็ก ๆ อยู่ ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องเป็นนางเอกเบอร์ 1 ทุกเรื่อง แต่จะมองที่บทมากกว่าว่าเราอยากเล่นไหม ถ้าเราอ่านบทแล้วเราอยากเล่น เราก็จะเล่นเลย ไม่ว่าจะเป็นนางเอกตัวรอง หรือจะเป็นตัวร้ายก็ตาม มันท้าทายในเรื่องของการที่เราได้เปลี่ยนตัวเอง ได้พัฒนาตัวเอง ไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องเป็นนางเอกตลอด ช่วงแรก ๆ ก็อยากมีสังกัด นะคะ เพราะเรารู้สึกว่าเป็นเหมือนบ้าน แต่หลัง ๆ เรารู้จักตัวเองดี เรารู้ว่าเรามีความดื้อประมาณไหน ถ้ามีสังกัดแล้วต้องทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำ มันก็ไม่เวิร์กแล้ว มันจะไม่มีความสุขในการทำงาน แต่ถ้าอิสระเรามีสิทธิที่จะเลือกทำหรือไม่ทำก็ได้โดยที่ไม่มีใครเดือดร้อน เลยคิดว่ามันน่าจะอยู่ที่ตัวเราเองมากกว่า ถ้าเราพัฒนาฝีมือดี ๆ เขาก็อยากจะใช้งานเราค่ะ อย่างเรื่อง “รักนี้ชั่วนิจนิรันดร์” มันเป็นความโชคดีของออมมากกว่าที่ได้รับบทนางเอก สำหรับเรื่องนี้บทดีด้วย และประสบความสำเร็จมาจากเกาหลี ที่สำคัญได้เล่นกับ พี่ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ด้วย

ละครเรื่อง “รักนี้ชั่วนิจนิรันดร์” มีความยากง่ายอย่างไรบ้าง?

เรื่องนี้ยากมากค่ะ เพราะเป็นซีรีส์เกาหลีที่ประสบความสำเร็จมาก มันมีภาพจำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคนเกาหลี คนไทย คนจีนที่ได้ดู จะเห็นความเป็นโรแมนติกดราม่า เห็นเรื่องราวความรักที่ลึกซึ้งของคนคู่นี้ มันจึงเป็นความยากของนักแสดงที่จะต้องตีโจทย์ตรงนี้ให้แตก และให้คนดูอินกับภาพของเราแทนโดยไม่ติดภาพจำของซองเฮเคียว ที่สำคัญซีรีส์เรื่องนี้เหมือนหนังขนาดยาว 18 ชั่วโมง ไม่เหมือนละครเลยค่ะ เพราะใช้กล้องตัวเดียวถ่ายเป็นช็อตเหมือนหนัง ทำให้เราต้องเล่นหลายรอบ วันหนึ่งจึงถ่ายได้แค่ไม่กี่ฉาก แต่ทุกคนต้องยอมเพื่อคุณภาพของงาน พี่อนันดาและผู้กำกับและนักแสดงทุกคนประชุมกันบ่อยและพยายามทำเรื่องนี้ออกมาให้เป็นเวอร์ชั่นไทยที่สมบูรณ์โดยที่ไม่ถูกชาติอื่นด่า (หัวเราะ) ซึ่งออมมองว่าทำได้ดีนะคะ มันมีกลิ่นอายของความเป็นไทย มันไม่ใช่การก๊อบปี้ช็อตของเกาหลี จากฟีดแบ็กของคนที่ได้ดู เขาชอบที่มันเป็นเวอร์ชั่นไทยจริง ๆ จากบทประพันธ์เดิมเอามาใส่บริบทความเป็นไทยลงไป ออมยอมรับเลยว่านักแสดงทุกคนเล่นได้ดีมาก การทำงานครั้งนี้ดูเหมือนจะเหนื่อยแต่มันก็ไม่เหนื่อยเลย เพราะทุกคนเต็มที่ในแต่ละหน้าที่ที่ได้รับ จริง ๆ ค่ะ ออมคาดหวังจะให้คนดูชอบค่ะ ให้เขามีความสุขและอิ่มในอรรถรสแบบเกาหลีที่เขาเคยประทับใจ และคาดหวังว่างานนี้จะเป็นงานคุณภาพของคนไทยที่ส่งออก ต่างชาติด้วย

ทำงานและเดินทางขนาดนี้มีคนมาจีบบ้างไหม?

ไม่มีเลยค่ะ ชีวิตช่วงหลัง ๆ นี้ ไม่ได้เจอใครเลย อยู่แค่ในกองละครเรื่องนั้นเรื่องนี้ เจอแค่ทีมงานและนักแสดงที่เป็นเพื่อนกัน ช่วงนี้นิ่ง ๆ ค่ะ หนุ่มต่างชาติก็ไม่มี นะคะ เหมือนเราดูเข้าถึงยากมากเลย ก็อยู่แต่กับทีมงานและนักแสดงที่เล่นด้วยกันแค่นั้น มีรู้สึกเหงาบ้างนะคะ โดนคำถามยอดฮิตบ่อยว่ามีแฟนหรือยัง บางคนบอกว่าออมคุยด้วยยาก คุยไม่รู้เรื่อง จริง ๆ แล้วไม่ใช่นะคะ (หัวเราะ) ก็มีบ้างที่อยากมีแฟนนะ แบบว่าฉันเหนื่อยจังเลย อยากให้มีคนโทรฯมาให้กำลังใจในเวลาที่เหนื่อยมาก ๆ ออมเชื่อว่าจังหวะไหนที่มันจะมีมันก็มีเอง แต่ถ้ามีตอนนี้คงไม่มีคุณภาพนะ เพราะเราคงไม่ได้ดูแลเขา เพราะยุ่งมากเลย คนรอบข้างมักบอกว่าออมปิดตัวเอง เขาจะบอกว่าผู้ชายคนนี้มาจีบเรา แต่เราก็ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้สึกว่าเขามาจีบเลย ออมว่าความรักเป็นแรงขับเคลื่อน เป็นกำลังใจให้เรา แค่เรานึกถึงคนนั้นแล้วเรายิ้มได้ มันก็มีกำลังใจในยามที่เราท้อ ความรักทำให้เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่กับเขา ไม่ได้เกี่ยวกับหน้าตาหรือฐานะอะไรมากมาย ออมไม่ได้กำหนดสเปก นะคะ แต่ชีวิตจะเรียนรู้ได้เองว่าเราชอบผู้ชายแบบไหน ตอนนี้รู้ว่าออมชอบผู้ชายเข้ม ๆ ที่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ดูอบอุ่น อายุเยอะกว่า และดูแลเราได้ค่ะ

สุดท้ายนี้ฝากอะไรถึงแฟน ๆ หน่อย?

ขอขอบคุณแฟนคลับมาก ๆ เลยที่คอยติดตามและสนับสนุนผลงานของออมมาตลอด อย่างเรื่อง “รักนี้ชั่วนิจนิรันดร์” ออมบอกได้เลยว่าออมได้เล่นเพราะแฟนคลับนะ คือแฟนคลับส่งชื่อไปทางทรูให้ออมมาออดิชั่น ออมก็เลยได้รับโอกาสนี้ ขอบคุณที่เป็นกำลังใจและอยู่เคียงข้างกันมาตลอด ออมสัญญาว่าจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดเพื่อผู้ชมและแฟน ๆ ทุกคนค่ะ

ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้การโกอินเตอร์ของสาวออมบรรลุฝันได้สำเร็จแล้วกันจ้า ที่แน่ ๆ แฟนคลับเมืองไทยอย่าให้น้อยหน้าอาตี๋ อาหมวยแล้วกันนะจ๊ะ.