Inside Dara
'แนท-อนิพรณ์' เดินตามฝันหวัง "โกอินเตอร์" ปัดเลิก "แฟน" ยังสวีตมุ้งมิ้งแค่ไม่หวือหวา?!!

จากเส้นทางนางงาม นางแบบ สู่การเป็นนางเอกเต็มตัว แนท-อนิพรณ์ เฉลิมบูรณะวงศ์ มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปี 2015 พิสูจน์ฝีไม้ ลายมือกับละครเรื่อง “คน” ทางช่อง GMM25 ประกบพระเอกหน้าใส เก้า-จิรายุ ถ่ายทอดชีวิตเรื่องราววุ่นๆของคน สาว แนท เปลือยใจผ่าน “คนดังนั่งคุย” ยอมรับงานแสดงเป็นสิ่งที่ท้าทาย ทั้งเครียดและกดดัน ถึงขั้นเสียน้ำตาก่อนเข้ากองละครมาแล้วเจอกระแสวิจารณ์หนักเล่นแข็งสตรองสุดๆ น้อมรับคำติชม ส่วนหัวใจก็มุ้งมิ้งกับหนุ่มรุ่นน้อง คอยเป็นกำลังใจแต่ทำมั้ย ทำไมไม่อยากเปิดตัวน้า...าาา

ชิมลางละครเป็นยังไงบ้างละครยาว?

“ช่วงแรกๆที่ไปกองละครร้องไห้ทุกวันเลย เพราะว่าเครียด กดดัน ทุกคนก็ใจดี แต่เราไม่ชินกับการอยู่กองทั้งวัน กินข้าวสามมื้อ ถ่ายติดๆกัน คือมันเหมือนเราไปโรงเรียน กินข้าวแล้วก็เรียนหนังสือ อันนี้ก็เหมือนถ่ายละครปุ๊บแล้วก็มากินข้าว ตอนแรกไปถึงบ้านก็จะร้องไห้ทุกครั้ง เป็นตั้งแต่คลับฟรายเดย์เลย ร้องไห้ไม่ใช่อ่อนแอนะ คือเราอยากระบายให้มันจบๆไป ตอนนอนเราจะได้นอนแบบสบายไม่ต้องมาเครียดปวดหัว พอตื่นเช้ามาเราก็เป็นคนใหม่แล้ว แต่เราแค่เครียดแบบทำไมเราทำไม่ได้สักที มันหลายอย่าง คือเราไม่ได้ร้องไห้เพราะคำวิพากษ์วิจารณ์นะ แต่เราร้องไห้เพราะสิ่งที่เราทำ เราทำอะไรอยู่” ในเรื่องร้องไห้เองด้วย? “ใช่ ร้องไห้เองทุกฉากค่ะ” เราบิ๊วต์ยังไงให้ร้องไห้ออกมา? “ตอนเรียนการแสดงพี่โอ๋เขาก็จะให้เราหาสถานการณ์จำลองหรือบาดแผลในใจเราที่ทำให้เรารู้สึกอยากร้องไห้ แต่หนูคือคนที่ทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าไม่อินกับตัวละครหนูร้องไห้ไม่ได้ หนูไม่สามารถจินตนาการได้ว่าแม่จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ใครจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เมื่อมันยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง หนูทำได้ก็คืออินกับตัวละครมากๆ หนูรักในตัวละครพ่อกับแม่ หนูจะอินกับบทพ่อก็คือพี่แจ๊บมาก เพราะหนูรู้สึกว่าพี่แจ๊บเหมือนเป็นพ่อเราเลยแบบนี้”

มีไปเรียนการแสดงเพิ่มเติมมั้ย เพราะในเรื่องเราต้องเป็นผู้กำกับ

“มีค่ะ ผู้กำกับก็คือพี่โอ๋เป็นคนสอนหนู ช่วงแรกๆที่มาเล่นละคร พี่โอ๋เขาก็จะให้หนูไปดูงานกำกับว่ากองถ่ายเขาทำงานกันยังไง แต่หนูก็ว่าแต่ละคนจะมีสไตล์การกำกับที่แตกต่างกันไป ทุกคนจะมีคาแรกเตอร์เป็นของตัวเอง หนูก็คีพคาแรกเตอร์พี่โอ๋ (หัวเราะ) ก็คือเราเรียนรู้งานจากพี่โอ๋ค่ะ ก็จะดูว่าพี่โอ๋ทำยังไง ดูจอมอนิเตอร์พี่โอ๋จ้องแบบไหน จ้องอะไรในจอ บางทีไม่ได้แค่ฟีลลิ่ง ภาพนู่นนั่นนี่ แสงอะไรบ้าง สายไวร์เลส นู่นนั่นนี่ เราก็จะดู”

พอมาเล่นละคร ที่ผ่านมาได้รับตำแหน่งเป็นนางงาม ถ้าเทียบกันชอบอะไรมากกว่า?

“หนูว่ามันไม่เหมือนกัน ถามว่าชอบอะไรมากกว่า ก็ชอบเหมือนๆกัน แต่รักการเป็นนางงามมากกว่า เพราะการได้ดำรงตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สปีที่แล้วทำให้หนูมีทุกวันนี้ หนูขอบคุณเวที ขอบคุณผู้ใหญ่ ที่ให้โอกาสไม่ว่าจะงานอะไร หนูดีใจที่มีโอกาสได้ทำ เพราะว่าเงินทุกบาททุกสตางค์หนูได้ใช้หนี้ให้แม่แล้วก็ได้ดูแลครอบครัวหนู ได้ส่งเสียให้น้องเรียนหนังสือ ดีใจที่มีงาน หนูอยากมีงานทุกวัน บางทีทุกคนก็ชอบบอกว่าหนูรับงานแฟชั่นโชว์ค่าตัวไม่เยอะ บางทีมันเป็นเรตนางแบบ หนูก็มองว่างานก็คือเงินค่ะ ป้าตือบอกว่าเงินพวกเราดูได้มาง่ายนะ แต่ก่อนเราเดินแบบได้เงินมาห้าพัน แนทดูสิ บางคนทำงานมาครึ่งเดือนกว่าเขาจะได้ห้าพัน บางคนทำงานทั้งเดือนได้หมื่นนึง แนทเดินแฟชั่นโชว์สองงานแนทได้หมื่นนึง ทำไมแนทไม่ทำหน้าที่ของแนทให้ดี แล้วหนูเก็บสตางค์บ้างมั้ยลูก? หนูก็บอกว่าหนูเก็บตลอด หนูรักงานทุกงาน ถึงใครจะมาว่าแฟชั่นโชว์นี่ไม่ดี ตลกว่ะ หนูก็ไม่แคร์นะ หนูดีใจว่าหนูมีโอกาสได้ทำงานและดีใจที่ผู้ใหญ่ให้งานมา หนูอยากทำให้หมด ได้เรียนรู้ได้ประสบการณ์ และอีกอย่างหนูได้เงินมาเพื่อดูแลครอบครัวหนู ทำให้รู้สึกดีค่ะ”

มีกระแสมาแบบแนทเล่นแข็ง บางคนบอกร้องไห้สวย เรารู้สึกยังไง?

“จริงๆไม่ได้อ่านนะคะ แต่เพื่อนแคปมาให้ดู เพื่อนก็จะบอกว่าอย่าเครียด คือเราก็บอกว่าเราไม่เครียดหรอกถ้ามึงไม่แคปมา (หัวเราะ) ถามว่าเครียดไหม หนูก็จะย้อนมองตัวเองว่าเราทำเต็มที่หรือยัง คือถ้าเราเล่นไม่ดีจริงเราก็ขอโทษด้วยแต่เราตั้งใจเต็มที่ในส่วนของเราแล้ว”

คิดว่าละครคนให้แง่คิดอะไรกับคนดูบ้าง?

“ให้แง่คิดเยอะมาก เอาง่ายๆ คือดูละครแล้วย้อนดูตัวเอง คือเราดูว่าในชีวิตเราใส่หน้ากากใส่ใครบ้าง เราเจอเพื่อนคนนี้ เราไม่ชอบ เราก็สวมหน้ากากใส่เขาหรือเปล่า แล้วคุณจะเห็นตัวละครแก้วใสหรือว่าอย่างตัวแม่ของแก้วใส ที่คนที่ไม่ค่อยใส่หน้ากากอ่ะ จะเป็นแบบคนตรงแต่สังคมไม่ยอมรับ สังคมก็จะมองว่าเป็นคนไม่ดีอะไรแบบนี้ คืออยากให้ดูละครแล้วกลับมาวิเคราะห์ว่าในทุกวันนี้คนรอบข้างเป็นยังไงบ้าง”

ก่อนหน้านี้แนทจะมีข่าวดังแล้วเปลี่ยนไปจริงหรือ?

“หนูว่าหนูไม่เปลี่ยนนะ ก็เหมือนเดิม ถ้าถามว่าหนูหยิ่งเหรอ ไม่ได้หยิ่งนะ จะให้ความสำคัญกับคนที่ให้ความสำคัญกับเรา เขาเป็นยังไงกับเรา เราก็เป็นแบบนั้นกับเขา ไม่ใช่ว่าแบบเราดัง คนไหนที่เขาไม่ชอบเราหรือไม่สนับสนุนเรา เขาไม่โอเคกับเราแล้วมาดีกับเราตอนที่เราดัง หนูก็จะเหมือนเดิมคือไม่สนใจเหมือนเดิม หนูรู้ว่าชีวิตจริงสปอตไลต์ มันไม่ได้ส่องมาที่เรา แต่ว่าเราอยู่ท่ามกลางสปอตไลต์ เราเห็นเรารับรู้ บางทีเราอยู่ในที่แจ้งเขาเห็นว่าเราทำอะไร ในทางกลับกันเราก็เห็นว่าคุณทำอะไรเหมือนกัน อย่างหนูมาจากนางแบบ มาจากตัวเล็กๆ หนูเห็นหมดว่าแต่ก่อนใครเป็นยังไง พอเราเติบโตขึ้นเรามีโอกาสมากขึ้น ถามว่าดังแล้วจะเปลี่ยนมั้ย? หนูไม่เคยเปลี่ยนนะ ใครเป็นยังไงหนูก็จะเป็นอย่างนั้นกับเขา ถ้าเขามาหาว่าหนูดังหนูหยิ่ง ให้ย้อนกลับไปมองว่าวันที่หนูเป็นอะไรก็ไม่รู้ เขาทำอะไรกับเราไว้ หนูไม่ได้เจ้าคิดเจ้าแค้นนะ หนูก็เป็นเหมือนเดิม อย่างตอนนี้เรามีเงิน วันธรรมดาที่เราว่าง เราก็จะไปเลี้ยงข้าวผู้สูงอายุก็จะชวนคนไป แม่ตุ๊ก็ร่วมทำบุญมาสองพัน พี่แก้วหนึ่งพันอะไรแบบนี้ หนูก็จะรวบรวมเงินไปทำบุญ ใครจะไปก็ไป ใครไม่ไปก็ไม่ไป ก็จะไปซื้อผ้าอ้อมบ้าง ผ้าปูที่นอนบ้าง ที่ทำก็ไม่ได้ทำเพราะจะเอาชื่อเสียงนะ แต่เราทำเพราะเราสุขใจ หนูก็ไม่ใช่คนดีนะ แค่หนูมีโอกาสที่จะทำ หนูมีพื้นที่สื่อ หนูก็ใช้ตรงนี้เพื่อรับบริจาค”

เห็นว่าไปต่างประเทศ ไปทำงานโกอินเตอร์ หรือไปเรียน?

“เรียนต่อน่าจะยังไม่ใช่ ที่ ม.ธรรมศาสตร์ยังไม่จบเลย จริงๆไม่ได้โกอินเตอร์หรอก แต่ก็อยากไปทำงานที่เมืองนอกมากกว่า ตอนนี้ก็หาโมเดลลิ่งอยู่ ไปปีนึงเลย แต่ยังไม่แน่ใจว่าไปช่วงไหนเพราะต้องรอตารางฝึกงานก่อนเพราะหนูพลาดฝึกสอนไปแล้ว ตอนนี้เพื่อนฝึกสอนเสร็จไปแล้ว แต่หนูยังไม่ได้ฝึก ถ้าหนูพลาดฝึกสอนพร้อมน้องก็หมายความว่าปีหน้าหนูก็ยังไม่จบ ก็จบปีนู้นเลย ตอนนี้ก็รอคุยกับอาจารย์อยู่ ก็ต้องเคลียร์อะไรให้เรียบร้อยก่อน มีคนมาถามเยอะก็ไม่กล้าบอกว่าจะไปเดือนไหน เป็นสิ่งที่อยากทำมากแต่ก็มองหลายๆอย่าง แล้วก็ไม่อยากทิ้งคนทางนี้ด้วย ถ้าเราไปแล้วใครจะดูแลพวกค่าใช้จ่ายต่างๆด้วย ตอนนี้ก็มีวางแผนให้พี่เราดูแลในส่วนตรงนี้” ถ้าไปก็คือไปเดินแบบ? “ใช่ค่ะ เดินแบบปกติ ก็ไปแคสติ้ง ได้งานบ้าง ไม่ได้งานบ้างก็ว่ากันไป ก็อยากมีโอกาสได้ทำงานทางนั้นด้วย”

ความรักบ้าง มุ้งมิ้งมาก?

“มีแต่คนบอกว่ามุ้งมิ้ง ปกติอาจจะเพราะหนูไม่ค่อยลงรูป ก็จะลงแค่ในสตอรี่มากกว่า คือเขาเรียนหนังสือ หนูก็ทำงาน แต่เวลาว่างเราก็มาเจอกัน เราสองคนก็คุยกันว่ามันเป็นหน้าที่ เหมือนเขาก็ต้องเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ก็ส่งเขาเรียน เราสองคนก็จะมีงุ้งงิ้งบ้างนะ ตอนเราไปเที่ยวกันเราไม่ได้ไปแบบสวีตคู่รักกอดกันริมทะเล แต่เราไปลุยๆกัน ไปพายเรือ เรามองความรักเป็นเรื่องสบายใจมากกว่า” ชวนแฟนไปทำบุญบ้างมั้ย “เขาไปกับเราตลอดในช่วงฝึกงาน หนูก็บอกหัวหน้าฝึก คือมันต้องขับรถไปไกลมากก็เลยให้เขามาช่วยงานคือไม่อยากให้เขามารอเราเฉยๆ จะได้ไม่เปลืองน้ำมันรถด้วย สลับกับแม่ค่ะ” คบกันคุณแม่รู้มั้ย “รู้ค่ะ คือทุกอย่างปกติ คือมีคนมาถามว่าเลิกกันแล้วกลับมาคุยกันเหรอ หนูก็งงว่าหนูไปเลิกตอนไหน”

ตอนนี้มีความฝันอะไรไหมที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ลอง?

“วันก่อนคุยกับพี่รัศมีแขตอนไปทำบ้านผู้สูงอายุก็แบบอยากติดแอร์ให้ห้องกิจกรรมของผู้สูงอายุ ก็กำลังคิดว่าจะหาเงินบริจาค กำลังดูอยู่ว่าจะหาทางแบบไหน หนูก็อาจจะทำโครงการดีๆอะไรก็ได้ให้คนมาร่วมซื้อหรือมาร่วมทำบุญ อาจจะเป็นของที่ผู้สูงอายุทำมาขายเพื่อจะนำเงินมาติดแอร์ให้ เพราะตอนไปฝึกงานผู้สูงอายุเขาร้อนมาก”

ว้าว...ว คนสวยใจบุญแบบนี้รักเลย...ย!!