Inside Dara
1 ปีค้นหาชีวิต ทำความรู้จัก "มิน พีชญา" เวอร์ชันใหม่ ปัดหยิ่ง-อวดรวย ยันเฟรนด์ลี-ติดดิน

ตั้งแต่ตกเป็นข่าวดังกรณีโพสต์อวดของแบรนด์เนมที่ซื้อจากต่างประเทศหลายต่อหลายชิ้น กระทั่งถูกกระแสจากโซเชียลโจมตีอย่าหนักทำนองว่า อวดรวย หยิ่ง ใช้อภิสิทธิ์ความเป็นดารา ฯลฯ ดูเหมือนชื่อของนางเอกสาว "มิน พีชญา วัฒนามนตรี" ดูจะเงียบหายไปนานทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนี้นางเอกคนดังได้กลับมารับงานอีกครั้งแล้วในฐานะ "มิว เวอร์ชันใหม่" และนี่คือเรื่องราวที่เธอได้ถ่ายทอดถึงช่วงเวลาขวบปีที่หายไป

"1 ปีที่หายไปหายไปพัก เราไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต ไปเรียนเพิ่มเติมหลายๆ ด้าน ทั้งจิตวิทยาเรื่องคน ทำอะไรที่ค้นหาอีกด้านของชีวิต ให้เราโตขึ้น มันส่งผลให้เราอาจจะเติบโตขึ้นมากกว่าเดิมทางด้านการแสดงด้วยซ้ำ เราได้เห็นในหลากหลายมุมมองแต่ละอาชีพมากขึ้น

"1 ปีที่ผ่านมาโลกของมินกว้างขึ้นมาก กว้างแบบมหัศจรรย์ แต่ก่อนเราเป็นเด็กกองถ่ายละคร กินที่กอง โตที่กอง นอนที่กอง อ่านหนังสือสอบที่กอง แล้วเอาไปสอบที่โรงเรียน (หัวเราะ) เราเข้าวงการตั้งแต่เด็ก แต่ว่ามันก็เป็นโอกาสที่เราเลือก ที่เราก็มีความสุขกับมัน"

"แล้ววันหนึ่งเรารู้สึกว่า เราเรียนจบแล้ว ทำงานมาสักพัก ก็เริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรต่อ มันก็เลยเริ่มเป็นคำถามว่าอย่างไรต่อ ที่บ้านเราก็มีธุรกิจ แล้วเราก็คิดว่าอย่างไรต่อ มีช่วงนึงถามตัวเองว่าเราเกิดมาทำไม แม่กับป๊าก็บอกเราตลอดว่าทุกๆ วันต้องมีความสุข เหมือนเราวางแผนชีวิตตลอดเวลา เราคิดแต่อนาคตว่ามันจะยังไงต่อจนลืมมองความสุขที่ปัจจุบัน"

"เมื่อก่อนเราเป็นคนที่จิตอยู่ในอนาคต ทำอะไรต้องเพอร์เฟค เรามุ่งไปแต่อนาคต จะสร้างตัว จะโน้นนี้ ไม่เคยอยู่กับปัจจุบัน มันเลยไม่มีความสุข ทุกอย่างจะต้องเพอร์เฟค และเป็นคนที่เคยอยู่แต่กับอดีต ยึดติดว่าต้องเป็นแบบนี้ ต้องได้แบบนั้น มันก็ไม่มีความสุขอีก เพราะฉะนั้นเราก็ได้เรียนรู้ว่าเอาปัจจุบันให้ดีที่สุด"

"ถ้าปัจจุบันดีแล้ว มันอาจจะถูกนำพาไปอยู่ในเหตุการณ์ที่ดีกว่าเดิม เราเคยออกแบบว่าชีวิต ต้องเป็น 1-2-3-4 แต่ในชีวิตจริง มันไม่ได้เป็นแบบนั้น มันจะพุ่งไปพุ่งมา ซึ่งมันอาจจะดีกว่าที่สมองเราไปถึงเสียอีก เพราะเรามุ่งที่จะทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด เราเคยเจอคนที่ไม่มีความสุขกับงานของตัวเอง ก็พร่ำบ่นกับชีวิตของเขา"

"เพราะเขาไม่เคยทำอะไรดีที่สุดในใจของเขา มันเป็นความทุกข์ในใจ ไม่ว่าคุณจะมีกินมีอยู่ดีแค่ไหน คุณก็ทุกข์ เราเลยรู้สึกว่ามันต้องทำสิ่งตรงหน้าให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม"

เหมือนเราเข้าใจชีวิตมากขึ้น?

"มันเหมือนกับเราอยู่ในจุดที่เรามาเข้าใจเรื่อง อดีต ปัจจุบัน อนาคต วันนี้ถ้าเกิดว่าเราไม่ได้โฟกัสกับปัจจุบัน แล้วจิตเราอยู่แต่อนาคต อยากไปตรงนั้นตรงนี้ ต่อให้ข้างหน้ามันสวยหรูแค่ไหน ให้คุณมีดี มีทุกอย่าง ความรัก เรียน งาน ดีหมดแต่ว่าเราก็ไม่มีความสุขหรอกเพราะว่ามัวแต่คิดถึงอนาคต อาจทุกข์กว่าคนที่ไม่มีข้าวกิน เพราะว่าคุณอยู่แต่กับอนาคตไง"

"แล้วอารมณ์เราอยู่แต่กับอนาคต ก็เลยไปเรียนจิตวิทยาเพื่อให้เข้าใจตัวเอง ไปเรียนเพื่อพัฒนาตัวเอง มันทำให้หลายๆ พื้นที่ที่ทำให้เราเข้าใจจิตใจคน เข้าใจอะไรมากขึ้น แล้วพอเราเห็นใจผู้อื่นมันก็จะกลับมา ทำให้เรามีความสุขในทุกๆวัน เพราะว่าอาชีพเราเป็นอาชีพที่ทำงานกับคนเยอะมากๆ แล้วคนหลายรูปแบบมาก"

"แล้วไม่รู้จะทำอย่างไรให้ทุกคนมีความสุข เหมือนเราเป็นคนที่คอยทำให้คนอื่นมีความสุข แต่ลืมไปว่าตัวเราต้องมีความสุขด้วย เพราะว่าถ้าเรามีความสุขมันก็เป็นการที่เราส่งความสุขให้กับคนรอบข้างแบบอัตโนมัติ"

เป็น "มิน เวอร์ชันใหม่"?

"มินรู้สึกเลยว่ามินคนนี้คนดูจะชอบ มินเวอร์ชันนี้เป็นเวอร์ชันที่แข็งแรงกว่าเดิม เติบโตทางด้านความคิด อารมณ์และ จิตวิญญาณ เรามีความเข้าใจ ต้องใช้คำนี้เลย มันไม่ใช่แบบคนให้เราทำแบบนี้แล้วเราทำ มันคือเราเข้าใจเราถึงทำ ด้วยความจริงใจ แล้วมินว่ามันเป็นอะไรที่ระยะยาวกว่าแล้วก็ มีความสุขกว่า"

"เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดเหตุการณ์ที่ต้องคิดให้ละเอียด ถี่ถ้วน เราจะใช้ความเข้าใจเข้าไปอยู่ในนั้น มากกว่าที่จะตัดสินเดี๋ยวนั้นเดี๋ยวนี้ เมื่อก่อนต้องแบบเดี๋ยวนี้เลย ตัดสินใจเลย จริงๆ แล้วในความสัมพันธ์ของมนุษย์มินว่ามันไม่มีคำว่าเดี๋ยวนี้มันคือจิตพร้อมเมื่อไหร่ก็พร้อม"

"มันเหมือนความสัมพันธ์ของครอบครัวบางทีก็ไม่ลงรอยกัน แล้วดราม่ากันเต็มโซเชียล บ่นกันเต็มโซเชียล แต่ว่าถ้าเรามีจิตเมตตาผู้คน เมตตาคนที่เรารัก เมตตาตัวเองเราก็จะเข้าใจ แล้วมันจะสุขภาพดี มันทำให้เราสนุกมากขึ้น แข็งแรงขึ้น สร้างสรรค์ขึ้น"

ต้องยอมรับว่าตอนที่เราโพสต์ภาพกับของแบรนด์เนมที่ซื้อจากต่างประเทศหลายต่อหลายชิ้น ตอนนั้นกระแสโจมตีเยอะมาก เมื่อมามองวันนี้กับเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วเราได้เรียนรู้หรือว่าต้องระมัดระวังอะไรบ้างมั้ย?

"ต้องระวังอยู่แล้ว แต่เราก็ไม่ได้ระวังมากจนเป็นโรคจิต เดียวนี้มีเยอะนักแสดงที่เครียดเพราะเรื่องนี้จนต้องเข้าบำบัด แต่เราโชคดีที่มีครอบครัวที่แข็งแรง เพื่อนที่ดี ล้อมรอบด้วยคนดี เวลาที่เกิดเรื่องเราจะได้รับกำลังใจที่สนับสนุนเรา มันทำให้เรายืนได้จนถึงทุกวันนี้ รวมถึงแฟนคลับที่เป็นคนดีมาก โชคดีที่ได้แฟนคลับที่เขาแยกแยะได้"

"ถ้าเป็นแต่ก่อนเจอดรามาเต็มโซเชียลตัวเองอาจมีเก็บเกี่ยวกลับมาบ้าง คือเมื่อก่อนมันเป็นยุคที่โซเชียลเพิ่งเข้ามาด้วยเนอะ มันใหม่สำหรับทุกคนไม่ใช่แค่มิน เราก็แค่หนึ่งในกระแสสังคมที่รับมาพร้อมๆ กัน สมัยนั้นที่ไอจีมันเพิ่งเริ่มดัง มันก็ไม่ได้แนะนำผู้คนเรื่องจริยธรรม การใช้คืออะไร"

"แล้วมันยังไม่เกิดสิ่งที่เรียกว่าบทเรียนหรือหลักฐานของคนที่ใช้โซเชียลให้เราได้เรียนรู้ ต่อสังคมว่าถ้าเราทำแบบนี้จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน จริงๆ แล้วมินว่ามนุษย์ไม่มีใครอยากให้ใครรู้สึกแย่เพราะเราหรอก โดยพื้นฐานแต่ว่าบางทีเราแค่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำมันไปกระทบคนอื่น"

"พอมันมีตัวอย่างให้เห็นมากขึ้นเราก็ใช้โซเชียลแข็งแรงมากขึ้น คนก็เริ่มแยกแยะเป็น ข้อคิดเห็นกับข้อเท็จจริงไม่เหมือนกัน สิ่งที่เขาพูดเป็นข้อคิดเห็นของเขา ของคนคนเดียว ไม่ได้แปลว่าคุณเป็นแบบนั้น มินจะไม่ได้เอากระแสมาตัดสินตัวเอง เราควรจะรู้ว่าจุดยืนของเราคืออะไร ไม่งั้นเราก็เหมือนลมเพลมพัด พัดไปพัดมา"

"แบบเหมือนพ่อแม่รักเรา แต่ว่าเขาทั้งสองคนพูดไม่เหมือนกันก็งงแล้วใช่มั้ย แล้วมันแปลว่าเราต้องยึดใครสักคนหนึ่งหรือ ไม่ใช่ แต่ว่ามันคือเราเป็นใคร แล้วถ้าเรารู้ว่าเราเป็นใคร เราต้องรู้ว่าเราจะทำอะไร แบบที่เรามีความสุขและทำให้คนอื่นมีความสุข"

กลับมาเล่นละครเรื่อง "นางทิพย์" เห็นว่าเรื่องนี้เรามาขอเล่น(บทร้าย)เอง ตรงนี้คิดอะไรอยู่?

"อยากเป็นนักแสดง เราไม่ได้อยากเป็นนางเอกอย่างเดียว เราอยากขึ้นชื่อว่าถ้าพูดถึงมินให้คิดถึงฝีมือ มันพูดได้เต็มปาก ว่าฉันคือนักแสดง การได้เล่นอะไรที่ไม่ต้องห่วงสวย แต่ว่าเพราะคนชอบพูดว่านางเอกติดสวย แล้วเรารู้สึกว่าไม่จริง นางเอกก็คือนักแสดง แล้วนักแสดงก็คือเป็นอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นเล่นร้ายสำหรับมินก็โอเค"

"แล้วพอได้มาลองคือสนุกมาก(ลากเสียง) สนุกแบบตัวสั่นเลย บิ้วทุกคน แบบเราจะถามคนอื่นว่าพร้อมหรือยังคะ เรากินข้าวเสร็จแล้วค่ะ ทีมงานยังไม่ทันได้งีบเลย คือเหมือนเรายิ่งได้ปล่อยพลัง เพราะเราเป็นคนพลังเยอะเรื่องนี้ไม่ได้เรียนการแสดงเพิ่มเลย เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราอยากเล่น เราขอเล่น”

แล้วกับรายการ "เกิร์ลเฟรนด์" ที่ทำเพราะอยากจะสื่ออะไร?

"เป็นอะไรที่สนุก คิดอะไรก็ทำ ไม่มีสคริปต์ ดูเป็นอีกลุกส์ ที่เราทำเพราะเรารู้สึกอยากให้คนเห็นภาพอีกภาพของเราที่ไม่ใช่ดารา พอมีคนสัมภาษณ์เราไปลงก็คือดาราแล้วไง คนจะมองเราเป็นดารา แต่ว่าภาพที่เราอยากให้คนเห็นมันคือภาพที่เราอยากให้คนรู้ว่าเราเข้าใจถึงได้ เราเป็นคนนะ มีความรู้สึก มีโลกปกติ ไม่ใช่ซุปเปอร์วูแมนรับได้ทุกเรื่อง"

"ในรายการจะได้เห็นตัวตนของมินจริงๆ เป็นอีกโลกหนึ่งที่ทำให้เห็นว่าดาราเป็นคน นี่คือมินตัวจริง มีชีวิตมีจิตใจ สมัยก่อนคนรู้สึกว่าดาราจับต้องยากมาก อยู่คนละโลกแต่เดี๋ยวนี้คนเข้าใจได้ คือคนชอบมองว่าบ้านมินรวย ดูจับต้องไม่ได้ คุณหนู หยิ่ง เข้าถึงยาก ซึ่งถามมินได้ ตัวตนมินไม่ใช่แบบนั้นคุณยังไม่เคยเจอเราเลย"

"หรือว่าภาพที่มันออกมาแบบนั้นผ่านสื่อ ผ่านการตีความของปากกาอีกที มันก็กลายเป็นภาพของเราในแบบนั้น ซึ่งตัวตนจริงๆ เราชิลล์มาก เราอะไรก็ได้ ส้มตำข้างทางก็ได้ เราไม่ได้ยึดติด เทปไหนหน้าสดคนดูเยอะมาก"

ยืนยันว่าเราเป็นคนแบบนั้นจริงๆ?..."มินกล้าพูดว่ามินติดดินกว่าใครหลายๆ คนอีกนะ แต่ภาพที่ออกมาบางทีมันก็เป็นงาน ตัวตนจริงๆ ของเรามันเหมือนในรายการเกิร์ลเฟรนด์ ถ้าอยากรู้จักเราจริงๆ ไปดูในรายการเกิร์ลเฟรนด์ดีกว่า เรากินส้มตำ นั่งกับพื้น เล่นกับหมา ขึ้นรถไฟฟ้า"

แล้วถ้าคนยังจะมองว่าเราเป็นลูกคุณหนู หยิ่ง เข้าถึงยากอยู่..."เขาก็มีสิทธิ์คิด เรารู้สึกว่ามีคนรักเราเยอะมาก ถ้ามีคนเข้าใจแบบนั้นเราก็ต้องเคารพ จริงๆ เราเป็นคนที่ไนซ์มาก ถ้าไนซ์กว่านี้จะไม่ปกติแล้วนะ(หัวเราะ) มินว่าดาราทุกคนต้องเจอ ถ้าไม่เจอข่าวนี้แสดงว่าไม่ใช่ดารา เพราะเราเจอคนเยอะ แล้วอยู่ตรงที่มีแสงไฟ"

ถึงตอนนี้ "มิน พีชญา" หาจุดสมดุลในความเป็นนักแสดงกับความสุขส่วนตัวที่ต้องการได้หรือยัง?

"เราเป็นดารานักแสดง จะถามหาความเป็นส่วนตัวมันไม่มี เพราะเราขายส่วนนั้นไปให้กับอาชีพเราไปแล้ว ชีวิตมันก็ปรับเปลี่ยนไป ตรงกันข้าม เราได้เรียนรู้ชีวิตคนอื่นมากขึ้น เข้าใจคนอื่นมากขึ้น เพราะเราเจอคนเยอะ ทำให้เราเข้าใจและมีความยืดหยุ่นกับทุกคนมากขึ้น มันทำให้เราเปลี่ยนไปในทางที่ดี ต้องพร้อมที่จะเติบโต"

"มินว่าใช้คำว่าแลกเปลี่ยนดีกว่า เราต้องแลกกับความเป็นส่วนตัว เพราะคนที่เข้ามาในชีวิตเราก็จะไม่เหลือความเป็นส่วนตัวเหมือนกัน มันเป็นการคัดคนเลยทีเดียว แม้กระทั้งครอบครัว ถามว่าเสียดายมั้ยกับสิ่งที่เราต้องแลกไป มันเป็นสิ่งที่เราแลกเปลี่ยน มินมองว่าเราสามารถทำมันเป็นความสมดุลในชีวิต"

"ข่าวต่างๆ มันเป็นเรื่องปกติ ที่มาพร้อมกับชื่อเสียง ถ้าไม่มีข่าวก็คือไม่ดัง เราก็จะคิดง่ายๆ แบบนี้ เวลามีข่าวแสดงว่าคนคิดถึง มีสติกับการตั้งรับ เพราะบางเรื่องมันเป็นเรื่องเล็กมาก แต่มันมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่มากสำหรับมิน เรารู้สึกว่าเราเจอคนเยอะ อะไรที่เราให้ได้ก็ให้ อะไรที่ให้ไม่ได้ก็บอกกล่าวกัน อาจจะให้น้อยกว่าที่เขาคาดหวัง แต่ก็ให้"

"เพราะเรารู้สึกว่า การที่เราเป็นคนระดับประเทศ เราก็ต้องแบ่งบันให้ระดับประเทศเหมือนกัน ด้วยความที่เราเป็นคนมีชื่อเสียง มันมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่มากกว่าคนปกติอยู่แล้ว นั้นเป็นเหตุผลที่เราได้เงินมากกว่าคนอื่น เพราะเราได้ค่าจ้างจากการจัดการเรื่องพวกนี้ จัดการกับอารมณ์ตัวเอง รักษาตัว"

"บางทีเราไม่สามารถที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจได้ เพราะทุกคนพร้อมที่จะตีความจากเหตุการณ์นั้นๆ แต่เรารู้ว่าดีที่สุดของเราคืออะไร และพลังที่ให้กับประชาชน ซึ่งมินก็ถือว่าเป็นคนที่มีพลังให้กับประชาชนพอสมควร เราให้เต็มร้อยอยู่แล้ว ส่วนที่มันผิดพลาดไปบ้างมันต้องมีบ้างแหละ แต่เราก็พร้อมและยินดีจะให้เท่าที่สุดของเราแล้ว..."