Inside Dara
ช่อง 3 ระส่ำ! สรยุทธไม่อยู่ เรื่องเล่าฯ เรตติ้งฮวบ เงินหด หั่นเวลาทิ้ง

เรียกได้ว่าเรตติ้งตกอย่างฮวบฮาบหลังจากที่ผู้ประกาศข่าวหลักของรายการเรื่องเล่าเช้านี้ อย่าง สรยุทธ สุทัศนะจินดา ขอยุติการอ่านข่าวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แม้จะมีการปรับเปลี่ยนแผนการทำงานด้วยการดึงพิธีกรอีกหลายคนเข้ามาเสริมทีมเพื่อเรียกให้คนดูยังอยู่

แต่สุดท้ายดูเหมือนจะไปไม่รอด งานนี้คุณสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการ ปฏิบัติการแทนรักษาการกรรมการผู้จัดการ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับผังไตรมาสสุดท้ายเดือนตุลาคม 2559 ด้วยการลดเวลาของรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ออกไป 45 นาที และดึงรายการเก่าอย่าง ผู้หญิงถึงผู้หญิง โดยมี 4 พิธีกรใหม่ มาเสียบต่อช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อหวังจะดึงเรตติ้งให้กลับคืนมา และหวังว่ารายการผู้หญิงถึงผู้หญิงจะกลับมาทวงความนิยมได้อีกครั้ง และดึงรายการตลาดสดพระรามสี่มาเพิ่มเรตติ้งในช่วงวันหยุด

ตัดเวลารายการเรื่องเล่าเช้านี้ออกไปถึง 45 นาที?

ตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรก รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ผู้ดำเนินรายการหลักของเราหายไป เพราะฉะนั้นก็เห็นเหมือนกัน ถามว่ามีผลกับทางสถานีมั้ย ก็มีผลทั้งในแง่ของจำนวนคนดูที่ลดลง และในแง่ของรายได้ที่ตกลง แต่ดูเหมือนว่าจำนวนคนดูที่ลดลงจะเริ่มเสถียรแล้ว รายได้ที่ลดลงยังไม่เสถียรเนื่องจากว่าสภาวะเศรษฐกิจ ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่เราลองดูสถิติต่างๆ ก็เลยคิดว่าจะปรับรายการกันใหม่ ตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค.เป็นต้นไป จะเปลี่ยนแปลงรายการจากที่คนดูคุ้นเคยกันมานานหลายปี รายการเรื่องเล่าเช้านี้ก็จะปรับเวลาให้เหมาะสมมากขึ้น เนื่องจากพิธีกรหลักที่มีความเชี่ยวชาญชำนาญเป็นพิเศษที่จะคุยข่าว เล่าข่าวกับคนดูได้คล่องไม่ได้ทำหน้าที่แล้ว แต่รูปแบบรายการยังเหมือนเดิม แต่วิธีการเล่าไม่เหมือนเดิม ก็จะทำให้สั้นลง รายการเรื่องเล่าเช้านี้จะปรับเวลาออกอากาศเป็น 06.00-08.45 น. เวลาจะหายไป 45 นาที เวลาจะเพิ่มเวลามันก็มีสาเหตุ เวลาจะลดเวลามันก็มีสาเหตุ เราไม่จำเป็นจะต้องประคองรายการให้อยู่ 3.30 น. ตลอดเวลา ที่ไหนในโลกก็มีการเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องเสียหน้าอะไร แต่ก็ยอมรับว่าเป็นการลดเวลารายการครั้งแรกในรอบ 13 ปีที่ทำรายการ ส่วนถามว่าคุณสรยุทธจะได้มีโอกาสกลับมามั้ย อันนี้ผมไม่รู้ ไม่ทราบเรื่องคดีความเลย ก็คงสู้คดีของเขาไป และเราก็เอาใจช่วยนะครับ

หลังจากที่ปรับเวลาของเรื่องเล่าเช้านี้ออกไป เราก็เอารายการเก่าย้ายบ้านใหม่ อย่างรายการผู้หญิงถึงผู้หญิง แต่คราวนี้เราเปลี่ยนพิธีกรหลักเกือบหมด คนที่เคยดูรายการนี้ก็จะได้กลิ่นอายเก่าๆ อยู่บ้าง ซึ่งรายการผู้หญิงถึงผู้หญิงนี้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะเป็นรายการผู้หญิงที่จะกลับมาชิงแชมป์ได้อีกครั้ง เพราะปัจจุบันเรามีช่องดิจิตอลทีวีเกิดขึ้นเยอะ รายการประเภทผู้หญิงมีทุกช่อง การที่เอารายการผู้หญิงถึงผู้หญิงกลับมาใหม่ไม่เห็นจะแปลกใหม่เลย เพราะช่องไหนเขาก็มีกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่หลายท่านไม่ทราบเหมือนกันนั่นก็คือ ถ้าคิดว่ารายการมันคือผลิตภัณฑ์ มันคือแบรนด์ รายการประเภทเรื่องเล่าเช้านี้ก็คือแบรนด์หนึ่ง รายการผู้หญิงถึงผู้หญิงก็คืออีกแบรนด์ รายการที่มีอายุเกิน 10 ปีขึ้นไปมีไม่เยอะ และรายการผู้หญิงถึงผู้หญิงมีแต้มต่อ เพราะเป็นรายการที่เวลาเราคิดถึงรายการเกี่ยวกับผู้หญิง เราก็จะคิดถึงรายการนี้ และรายการผู้หญิงถึงผู้หญิงก็เป็นรายการต้นแบบที่คนอื่นเอาไปใช้กัน เมื่อเอากลับมาใหม่ พิธีกรเราก็เปลี่ยนใหม่ มี ลิซ่า อาลิซาเบธ แซ๊ดเลอร์ แพท ณปภา ตันตระกูล ลูกแก้ว กรกมล ชิตพงศ์ บูม สุภาพร วงษ์ถ้วยทอง และมีเจ้าเก่า 1 คนคือ กาละแมร์ พัชรศรี เบญจมาศ แต่กาละแมร์ไม่ได้มาทุกวัน จะมาแค่วันใดวันหนึ่ง มาเสริมในส่วนที่เขาถนัด

ซึ่งรายการนี้ผมคิดว่าถ้าเราออกอากาศตั้งแต่ 08.45 น. จนถึง 09.30 น. ความยาว 45 นาที ลองดูเอาของเก่ามาทำใหม่ เพราะโดยส่วนตัวและทีมงานก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเราจะสามารถดึงเรตติ้งได้ เราสามารถที่จะเป็นแชมป์รายการของผู้หญิงได้ ซึ่งหลังจากดูการซ้อมของทั้ง 4 คนแล้วก็ดูเข้าขากันมากๆ ทุกคนมีคาแรกเตอร์ ถึงแม้ของเก่าจะทำไว้ได้ดี แต่ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องอยู่กับของเก่าตลอด

ส่วนอีกรายการหนึ่งคือรายการแจ๋ว ทุกวันนี้ออกอากาศ 07.00 น. ที่ช่อง 13 แฟมิลี่ เราก็ย้ายรายการแจ๋วลงมา เพราะคิดว่ารายการนี้น่าจะเปิดโอกาสให้ทั้งเจ้าของสินค้าและผู้ชมทางบ้านเลือกดูเวลาที่สะดวกขึ้น ก็เลยย้ายกลับมาเป็น 14.00-14.30 น. ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์เหมือนเดิม อีกหน่อยรายการนี้ก็จะเป็นรายการที่มีผู้สื่อข่าวออกไปทำข่าวที่เกี่ยวกับผู้หญิงและยิงสดกลับมาที่สถานี ทั้ง 2 รายการเป็นรายการเกี่ยวกับผู้หญิงแต่คนละแนว โดยจะมีการนำเอาโซเชียลมีเดียมาใช้มากขึ้น หลายคนอาจจะคิดว่าโซเชียลมีเดียดึงคนดูจากทีวีไป แต่สำหรับผมคิดว่าน่าจะใช้โซเชียลมีเดียมาเป็นตัวดึงคนให้เข้ามาดูในฟรีทีวีได้ ในอนาคตข้างหน้าเราตั้งทีมงานเอาไว้ว่าจะทำอย่างไรให้ดึงคนเข้ามาดูรายการขณะที่รายการออนแอร์ได้ และหลังจากนี้ไปช่อง 33 ช่อง 28 และช่อง 13 เราจะมีรายการกีฬาค่อนข้างเยอะขึ้นนะครับ ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลโลก วอลเลย์บอล และมีกีฬาอื่นๆ เสริมเข้ามา ทางสถานีกำลังประมูลอยู่ อย่างลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 2018 ก็รอฟังผลอยู่ว่าใครจะได้ไป

ปรับความชัดเจนของเนื้อหาของแต่ละช่องให้ชัดมากขึ้น?

รายการหลายรายการที่ถูกย้ายจากช่อง 3 ไปอยู่ช่อง 13 หรือรีรันที่ช่อง 28 ตั้งแต่นี้ไป รายการต่างๆ ของช่องจะมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก แต่จะทยอยมา อย่างช่องเด็กก็จะมีรายการที่ชัดเจน เป็นช่องที่อยากให้เด็กและผู้ปกครองดูด้วยกัน รายการต่างๆ ช่วงมกราคม จะทำให้มีรายการรีรันน้อยที่สุด แต่ถ้าเป็นซีรีย์ที่สามารถเรียกคนดูได้ก็จะทำต่อไป อย่างช่อง 3 เราก็มีละครรีรัน อันไหนที่มันดีเราก็จะยังทำอยู่ ช่อง 28 ละครรีรันก็เป็นอะไรที่เรียกเรตติ้งคนดูได้ ซึ่งเราถือว่ามันเป็นแต้มต่อกว่าช่องอื่นที่ไม่ต้องไปซื้อมา เราสามารถเอารายการช่องหลักมาออกซ้ำได้ ส่วนละครของช่อง 28 ที่เป็นเฟิร์สรันเรตติ้งก็เริ่มดี เรื่องม่านดอกงิ้วก็ได้ 2 กว่าแล้วถือว่าประสบความสำเร็จ การที่เราคิดว่าจะเจาะกลุ่มคนดูอีกกลุ่มเราก็ทำได้แล้ว ตอนนี้ละครช่วงเวลาเย็นของช่อง 28 ก็คิดว่าจะเป็นละครเฟิร์สรันไปตลอด

ส่วนรายการที่อยู่ในผังของช่อง 28 ช่วงเวลา 20.15 น. ก็เป็นรายการของบริษัทจันทร์ 25 และ บริษัทกันตนา เอฟโวลูชั่น ที่จะทยอยทำรายการมาเติมให้เต็มทั้ง 5 วันจันทร์ถึงศุกร์ ต้องประเมินผลตอบรับกันต่อไปว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ก็จะปรับปรุงรายการต่างๆ ต่อไป และอาจจะมีผู้จัดรายใหม่ๆ เข้ามา ส่วนช่อง 13 เพราะภาพลักษณ์มันชัดเจนว่าเป็นช่องเด็ก ก็จะมีรายการเด็กเข้ามา จะเป็นการ์ตูนที่เป็นที่นิยมนำมาออกอากาศ และก็จะทำรายการสอนภาษาให้เด็ก 4-9 ปี เรียนภาษาที่บ้าน หรือเด็กอายุ 10-14 ปี เรียนภาษาผ่านพิธีกร โดยการทำเรื่องของการศึกษาให้เป็นรูปแบบของความบันเทิงได้ ทิศทางของการทำช่อง 13 จะเป็นประมาณนี้ นอกเหนือจากซีรีย์จีนที่มีอยู่แล้ว

จุดแข็งของช่อง 3 ตอนนี้คืออะไร?

หลายๆ ช่องอาจจะมีปัญหา แต่เราโชคดีที่ละครเรายังแข็งแรงอยู่ ละครยังมีอยู่เต็ม เพียงแต่ว่าเราไม่สามารถเพิ่มรายได้ได้จากละครแล้ว เพราะเราขายละครในเรตราคาที่แพงอยู่แล้ว จะอยากได้รายได้เพิ่มก็ต้องขึ้นราคา โดยการทำให้ละครยาวออกไป แต่มันก็ไม่ไหว เพราะทุกวันนี้ก็ดูละคร 2 ชั่วโมงครึ่งแล้ว เราจะขึ้นราคาได้แต่เรตติ้งก็จะต้องขึ้นไปเยอะๆ แต่บังเอิญคู่แข่งละครเยอะ การที่เราประคองให้มีโฆษณาเต็มได้ตลอด ก็เป็นอะไรที่พระเจ้าช่วยมากมายแล้ว (ยิ้ม) เพราะทุกวันนี้มีละครดู 6-7 เรื่องต่อวัน ในช่วงเวลาเดียวกัน บางช่องก็มีความฮิตในบางเรื่อง มันเหมือนการซื้อลอตเตอรี่นั่นแหละ ถ้าช่องไหนบูม ช่องที่ไม่แข็งแรงก็จะถูกแย่งโฆษณาไป เม็ดเงินจะไหลไปไหลมา คนที่ทำละครจะลำบากมาก เพราะจะทำอย่างไรให้มันดังต่อเนื่อง เมื่อก่อนละครมีแค่ 3 ช่อง ช่อง 3 ช่อง 5 และช่อง 7 แต่ช่อง 5 ก็ยังไม่สามารถเจาะเข้ามาได้ แต่ตอนนี้มีหลายช่องก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเจาะได้ การทำละครไม่ใช่เรื่องง่าย คนดูสมาธิสั้น ชอยส์ให้เลือกดูเยอะ ตอนแรกถ้าทำแล้วไม่โดนคนดู หลังจากนั้นต้องไหว้เจ้าแล้ว (ยิ้ม) เราต้องเพิ่มรายได้จากข่าว เพิ่มรายได้จากรายการวาไรตี้ ซึ่งรายการวาไรตี้มันก็มีปัญหาเหมือนกัน ถึงแม้ความนิยมยังมีอยู่ แต่มูลค่าของเงินมันน้อยลง

รายการวาไรตี้หลังละครหายไปเยอะเป็นเพราะอะไร?

ตอนนี้รายการหลังละคร เวลา 23.20 น. ของทุกช่องมันเป็นช่วงเวลาปราบเซียน ตอนนี้ทุกช่องประสบปัญหาคนดูหายไปหมด เมื่อก่อนช่วงเวลานี้ช่อง 3 กับช่อง 7 แข็งแรงมาก เราได้เงินเยอะจากช่วงนี้มากกว่าช่องทีวีดิจิตอลทั้งช่องเสียอีก แต่ปัจจุบันสิ้นมนต์ขลัง เพราะว่าคนดูเปลี่ยนพฤติกรรมไปหมด ไปฟังเพลง เล่นมือถือ ดูฟุตบอล รายการพวกนี้ถ้าไม่ดีจริงจะหาฐานคนดูสม่ำเสมอยากมากตั้งแต่วันจันทร์-ศุกร์ รายการเลยหายไปเยอะ และมันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รายได้ของเราตกลง รายได้ตกไม่ใช่แค่รายการข่าวอย่างเดียว แต่รายการวาไรตี้ที่เป็นช่วงกลางคืนก็มีส่วน เพราะพฤติกรรมของคนดูเปลี่ยนไป พอพฤติกรรมคนดูเปลี่ยน คนผลิตก็ไม่ไหว ก็ต้องคืนเวลามา หลังๆ เราไม่สามารถทำให้รายการในช่วงเวลานี้เป็นที่นิยมของคนดูได้แล้ว พอรายการไหนเด่นในตอนกลางคืนก็ย้ายมาในช่วงเวลากลางวัน เพื่อโอกาสที่จะดึงคนดูให้เยอะขึ้น เพราะฉะนั้นรายการที่เคยอยู่ตรงนั้นมันก็อ่อนลง พอเอารายการใหม่เข้ามาก็ไม่ได้แล้ว เพราะพฤติกรรมคนดูเปลี่ยน ในอนาคตช่องก็เลยจะต้องเข้าไปผลิตรายการเอง เราทำเองในบางรายการ ให้คนอื่นมาทำในบางรายการ ต่อไปการที่ช่องจะก้าวออกไปทำเองจะมีเยอะขึ้น เพราะว่าบางทีช่องสามารถลงทุนได้ เพราะการทำรายการทีวีมันลงทุนเยอะ คนที่เป็นเจ้าของช่องย่อมไม่อยากจะเปลี่ยนแปลงรายการบ่อยๆ เลยเป็นเหตุทำให้ต้องปรับการทำงานด้วยการลงมาทำเอง

ดึงรายการตลาดสดสนามเป้า จากช่อง 5 มาลงช่อง 3 และเปลี่ยนชื่อรายการเป็น ตลาดสดพระราม๔?

สำหรับรายการตลาดสดพระรามสี่ เดิมอยู่ช่อง 5 และอยู่เวลาไพร์มไทม์ คนดูในช่องต่อวันลดลง เลยต้องย้ายวิกมาหน่อย โดยทางผู้ผลิตเป็นคนเข้ามาพูดคุยเรื่องการย้ายรายการมา ส่วนรูปแบบรายการเหมือนเดิม แต่เวลาหายไป 15 นาที และแค่เปลี่ยนชื่อเท่านั้นเอง คือเราทำงานกับโพลีพลัสมานาน แต่ตอนนี้ช่วงเวลามันยังไม่ลงตัว เลยจะเห็นว่าในวันอาทิตย์มีรายการของโพลีพลัสยาวต่อเนื่องกันถึง 3 รายการ ตั้งแต่รายการศึก 12 ราศี, 3 แซบ และตลาดสดพระรามสี่ แต่ก็จะย้ายเวลาใหม่เพราะเวลานี้มันยังไม่แน่นอน

จะทำอย่างไรให้ช่อง 3 กลับมาอยู่ในอันดับ 1 ได้อีกครั้ง?

ขอเรียนให้ทราบว่าทางช่องไม่เคยสนใจว่าจะเป็นช่องอันดับ 1 2 3 หรือ 10 เลย เวลาอันดับเราไหลลงไปเราก็เฉยๆ เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะการทำรายการทีวีไม่ได้ทำอย่างที่หลายคนเขาวัดกัน ด้วยการวัดคนดูเป็นนาที ความภูมิใจที่บอกว่าทุกๆ นาทีมีคนดูเฉลี่ยเท่านั้นเท่านี้มันไม่ใช่ มันต้องวัดจากการประสบความสำเร็จของรายการ เพราะคนซื้อโฆษณาซื้อจากรายการที่ได้รับความนิยม ไม่ได้ซื้อจากการว่าช่องอยู่อันดับที่เท่าไร เขาซื้อจากการที่ว่ารายการนั้นมีคนดูเท่าไร และใครเป็นคนดู มันตรงกับกลุ่มเป้าหมายเขามั้ย ผมจะดีใจมากกว่าที่ช่อง 13 หรือ ช่อง 28 มีรายการที่ดังๆ ขึ้นมาแล้ว 2 รายการ มากกว่าวัดจาก 24 ช่องแล้วเราได้เป็นอันดับที่เท่าไร ตอนนี้ช่องของเราเริ่มกลับมาอยู่ในช่วงลองผิดลองถูกกันอีกครั้ง เพราะการทำรายการมันยากขึ้นเพราะคนดูสมาธิสั้นลง ช่องมันมีเยอะ