หนักจนต้องเอ่ยปากว่าไม่ไหว! "ต้าเหนิง กัญญาวีร์" เปิดอาการป่วยขั้นวิกฤต ค่าตับพุ่งสูงกว่าคนเป็นตับอักเสบหลายเท่า แพทย์วินิจฉัยเป็นไวรัสตับอักเสบ E ยอมรับนาทีนั้นทรมานเหมือนใกล้ตาย!
สร้างความตกใจให้กับแฟน ๆ และผู้ที่ได้ฟังอาการป่วยของนางเอกสาวและแฟชั่นไอคอนชื่อดัง “ต้าเหนิง-กัญญาวีร์ สองเมือง” เป็นอย่างมาก หลังล่าสุดเธอได้ออกมาเปิดเผยถึงภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ซึ่งมีสาเหตุมาจากอาการตับอักเสบอย่างรุนแรง โดย ต้าเหนิงได้เล่าถึงอาการป่วยที่เข้าสู่ขั้นวิกฤต ผ่านช่องยูทูปของเธอ ในรายการ THANAERNG F1 IN SINGAPORE VLOG ว่า
ค่าตับของเธอพุ่งสูงถึง 1,300 กว่า ๆ เกือบ 1,400 ซึ่งถือเป็นภาวะวิกฤตอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับค่าตับปกติของคนทั่วไปที่อยู่ประมาณ 10, 20, 30 หรือสูงสุดไม่เกิน 45 ซึ่งค่าของเธอนั้นสูงกว่าคนที่ป่วยเป็นตับอักเสบหลายเท่า และสูงกว่าคนที่ดื่มหนัก ๆ ด้วยซ้ำ ปกติแล้วคนที่มีค่าตับเกิน 1,000 ส่วนมากจะต้องเข้าห้อง ICU แต่โชคดีที่เธอยังมีสติ ตาไม่เหลือง และตัวไม่เหลือง
ต้าเหนิงเล่าถึงช่วงที่อาการหนักที่สุดว่า เธอรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้ตายที่สุดแล้ว มีอาการมึนเหมือนลอย ๆ พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง และต้องนั่งหลับตาอยู่บนเตียง ไม่สามารถลุกได้เลย โดยจุดเริ่มต้นของอาการเริ่มต้นจากการที่เธอรู้สึกเป็นไข้หนักมาก ตัวสั่น หนาว แต่ก็มีเหงื่อออกด้วย ซึ่งเธอคิดว่าเป็นไข้ทับระดู จึงเดินทางไปโรงพยาบาล เธอต้องนอนโรงพยาบาล 3 คืน และได้รับยาแก้ปวดรวมถึงมอร์ฟิน แต่เมื่อกลับออกมาทำงาน อาการปวดก็กำเริบหนักขึ้นในช่วงเย็น ทำให้ต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง ก่อนจะทำการสแกนร่างกาย ฉีดสี และตรวจเลือดอย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุ
สรุปผลตรวจพบว่า ตับโต และมีถุงน้ำดีบวม พร้อมกับพบน้ำในปอดทั้งสองข้าง ซึ่งทำให้นักแสดงสาวรู้สึกเหนื่อยง่ายและหมดแรง แม้จะทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงสัปดาห์แรกที่ค่าตับวิกฤต เธอต้องเข้ารับการรักษาอย่างหนักหน่วง โดยมีการเจาะเลือดเพื่อตรวจทุกวันตลอด 2 อาทิตย์ จนมีรอยเข็มเต็มแขนเกือบ 20 รูจนไม่มีที่ให้เจาะ ต้องถูกเสียบเข็มคาไว้พร้อมกัน 2 ชุด เพื่อให้ยา 2 ตัว และน้ำเกลือไปพร้อมกัน ต้องฉีดยาแก้ปวดทุก 4 ชั่วโมง ฉีดยาแก้อาเจียนทุก 6 ชั่วโมง และยาอื่น ๆ เพื่อลดกรด เนื่องจากตับโตทำให้ไม่สามารถกินข้าวได้และมีอาการคลื่นไส้ นอกจากนี้ แพทย์ยังต้องระมัดระวังในการให้ยาเป็นพิเศษ เพราะค่าตับสูงมาก ทำให้ยาแก้ปวดทั่วไปอย่างพาราเซตามอลก็ไม่สามารถกินได้
ในช่วงสัปดาห์ที่สอง แพทย์จึงวินิจฉัยได้แน่ชัดว่าเป็น “ไวรัสตับอักเสบ E” ซึ่งเป็นชนิดที่เกิดจากการรับประทานอาหารไม่สะอาด แต่โชคดีที่สามารถหายเองได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป นอกจากนี้ยังตรวจพบซีสต์ (ถุงน้ำ) แต่เลือกที่จะรักษาอาการตับอักเสบก่อน
ส่วนผลกระทบด้านการทำงาน ต้าเหนิงเผยว่า ตอนนี้เธออยู่ในสเตจของการพักรักษาตัว และต้องถอนตัวจากซีรีส์เรื่องหนึ่งที่เตรียมจะเริ่มถ่ายทำไปแล้ว เนื่องจากแพทย์ร้องขอให้เธอหยุดพักนิ่ง ๆ ไปเลยประมาณ 2-3 เดือน แม้จะตัดสินใจออกจากโรงพยาบาลมาแล้ว โดยออกมาในขณะที่ค่าตับอยู่ที่ 900 กว่า แทนที่จะเป็น 450 ตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะเธอรู้สึกอยู่ไม่ไหวและเกือบจะเป็นโรคซึมเศร้า แต่การทำงานก็ยังทำได้ไม่ต่อเนื่องกันหลายวันหรือหลายชั่วโมง
และยังมีเหตุการณ์ที่เธอไปถ่ายงานนิตยสารที่ต้องขึ้นลงบันได 4 ชั้น ซึ่งทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยมากจนกระทั่งอาการทรุดตัว ต้องกลับเข้าโรงพยาบาลเพื่อเช็คอาการใหม่ ปัจจุบันเธอยังไม่สามารถออกกำลังกายได้ และต้องตรวจเลือดทุกเดือน ต้าเหนิงยอมรับว่าเธอเป็นคนที่ไม่เคยพูดว่า “ไม่ไหว” เพราะกลัวคนอื่นคิดว่าเธอขี้เกียจ แต่เธอก็เตือนทุกคนว่า หากรู้สึกว่าร่างกายมีอะไรผิดปกตินิดเดียวก็ควรไปตรวจเช็กทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะวิกฤตเช่นเดียวกับเธอ
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก thanaerngnin...
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012
